head prakardsod






























































ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไตไม่ใช่แค่กินเค็ม รู้สาเหตุและวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป  (อ่าน 6 ครั้ง)

siritidaphon

  • Sr. Member
  • ****
  • กระทู้: 487
  • ผู้ผลิตขายส่ง โพสฟรี SEO
    • ดูรายละเอียด
โรคไตไม่ใช่แค่กินเค็ม รู้สาเหตุและวิธีป้องกันก่อนสายเกินไป

ด้วยพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยในปัจจุบัน ทำให้มีความเสี่ยงในการเกิดโรคไตได้ง่าย ซึ่งเป็นภัยร้ายที่ต้องตระหนักและป้องกัน และเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับปัญหาโรคไตมากขึ้น เราจะพาไปดูกันว่า โรคไตมีอาการ สาเหตุ และวิธีป้องกันอย่างไร รวมถึงมีสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงความเสี่ยงของโรค ที่เราสามารถสังเกตได้ด้วยตนเองอย่างไรบ้าง

 
โรคไต ภัยเงียบ ที่เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย

รู้หรือไม่ว่าคนไทย 17.6% หรือราว ๆ 8 ล้านคนป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง และในจำนวนนี้ป่วยเป็นไตวายระยะสุดท้ายถึง 80,000 คน และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นทุกปี ซึ่งสาเหตุของโรคไต เกิดขึ้นจากหลายปัจจัย ไม่ใช่เฉพาะการกินอาหารที่มีรสเค็มจัดเท่านั้น เพราะสามารถเกิดได้ทั้ง สาเหตุจากพันธุกรรม โรคประจำตัว ไปจนถึงการใช้ชีวิต

โรคไต เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ?

    โรคเรื้อรัง อย่างเบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เก๊าต์ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงไตเสื่อม

    อายุ โดยทั่วไป ผู้ที่มีอาการของโรคไตเสื่อมจะอยู่ในช่วงอายุ 35 - 40 ปีขึ้นไป

    พันธุกรรม หากมีคนในบ้านป่วยเป็นโรคไตเสื่อม ก็มีโอกาสที่จะเป็นโรคนี้เพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย

    เคยเป็นโรคไตอักเสบ หรือโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับไต หรือมีภาวะผิดปกติตั้งแต่กำเนิด มีไตเพียงข้างเดียว

    การใช้ยาผิดประเภท ใช้ยาเกินขนาด หรือกินวิตามินเสริมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ๆ จนสะสมในร่างกาย

    กินอาหารรสจัด ทั้งเค็มจัด หวานจัด เผ็ดจัด

    กินอาหารที่มีโซเดียมสูง ทั้งเครื่องปรุง อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว เบเกอรี่ต่าง ๆ

    ดื่มน้ำน้อยเกินไป จนทำให้เกิดสารเคมีสะสม ไตขาดน้ำ จนทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ

จากสาเหตุข้างต้น จึงสามารถบอกได้ว่า “โรคไตเสื่อม” ไม่ได้เกิดจากการกินเค็มเพียงอย่างเดียวอย่างที่หลายคนเข้าใจ แต่มีสาเหตุอื่น ๆ ร่วมด้วย โดยเฉพาะโรคประจำตัวต่าง ๆ ที่เป็นสาเหตุสำคัญทำให้ไตเสื่อม รวมถึงพฤติกรรมการกินที่ชอบกินอาหารรสจัดและใส่เครื่องปรุงเยอะ ๆ ด้วย

 
เช็ก 6 สัญญาณเตือนโรคไตเสื่อม

ใครที่กำลังสงสัยว่าตนเองมีอาการของโรคไตเสื่อมหรือไม่ แนะนำให้เช็กสัญญาณเตือนที่บ่งชี้ดังต่อไปนี้

    มีอาการบวมตามผิวหนัง ใบหน้า เท้า หน้าแข้ง

    เหนื่อยง่าย อ่อนเพลียเรื้อรัง ไม่ค่อยมีแรง

    ปวดหลัง หรือปวดเอวบ่อย ๆ โดยไม่มีสาเหตุที่แน่ชัด

    ปัสสาวะมีลักษณะที่ผิดไปจากเดิม เช่น มีเลือดปน มีฟอง หรือปัสสาวะบ่อย

    คันตามผิวหนัง

    คลื่นไส้อาเจียนบ่อย ๆ

 
5 ระยะของโรคไตวายเรื้อรัง

โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1

ค่า eGFR >90 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นระยะที่ไตยังทำงานและกรองของเสียได้ตามปกติ แต่อาจจะตรวจพบว่ามีโปรตีนรั่วออกมาเล็กน้อย แนะนำให้ปรับพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต กินอาหารไม่ปรุงรส ออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง งดการสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

โรคไตเรื้อรังระยะที่ 2

ค่า eGFR 60 - 90 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตเรื้อรังในระยะเริ่มต้น ไตทำงานได้น้อยลงกว่าปกติ เหลือเพียง 60-90% เท่านั้น แนะนำให้ลดอาหารรสจัด อาหารแปรรูป รวมถึงซอสและน้ำจิ้มต่าง ๆ


โรคไตเรื้อรังระยะที่ 3

ค่า eGFR 30 - 59 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตเรื้อรังระยะปานกลาง ไตทำงานได้น้อยลง เหลือเพียง 30 - 60% เท่านั้น นอกจากต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ แล้ว แนะนำให้กินโปรตีนอย่างสมดุล ไม่กินมากไป และไม่กินน้อยเกินไป


โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4

ค่า eGFR 15 - 29 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตเรื้อรังระยะรุนแรง ไตทำงานเพียง 15 - 30% เท่านั้น ในระยะนี้ผู้ป่วยจะต้องลดการกินผักผลไม้ที่มีโพแทสเซียมสูง อย่างเช่น ฟักทอง หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ มะม่วง มะขามหวาน ฝรั่ง กล้วย ทุเรียน


โรคไตเรื้อรังระยะที่ 5

ค่า eGFR < 15 มล./นาที/1.73 ตร.ม. เป็นโรคไตวายระยะสุดท้าย ไตทำงานเหลือน้อยกว่า 15% ต้องรักษาโดยการฟอกไตหรือปลูกถ่ายไต

โรคไตชะลอและป้องกันได้ แค่ปรับพฤติกรรม

แม้ว่าโรคไตจะเกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัย แต่หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ก็คือ พฤติกรรมกินและการใช้ชีวิต ซึ่งหากว่าเราปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็จะช่วยชะลอและป้องกันโรคไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ตรวจคัดกรองโรคไตปีละ 1 ครั้ง

แม้ว่าโรคไตจะเกิดจากหลากหลายสาเหตุและปัจจัย แต่หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลมากที่สุด ก็คือ พฤติกรรมกินและการใช้ชีวิต ซึ่งหากว่าเราปรับพฤติกรรมดังกล่าว ก็จะช่วยชะลอและป้องกันโรคไตได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ตรวจคัดกรองโรคไตปีละ 1 ครั้ง

เพื่อตรวจประสิทธิภาพการทำงานของไตว่ายังทำงานปกติหรือไม่ หากตรวจพบเจอว่าไตผิดปกติในระยะแรก ๆ การดูแลรักษาก็จะสามารถทำได้ง่ายขึ้น ช่วยชะลอไม่ให้ไตเสื่อมไวจนต้องฟอกไตอีกด้วย


รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

เลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ อย่างผักและผลไม้ ลดการกินโปรตีนจากเนื้อแดง รวมถึงอาหารที่มีไขมันสูง ที่สำคัญลดปริมาณโซเดียม ไม่ว่าจากอาหารรสจัด อาหารแปรรูป หรือจากเครื่องปรุงต่าง ๆ


ดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอ

ช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไต แนะนำให้ดื่มวันละ 6 - 8 แก้ว หากปัสสาวะมีสีเข้ม แสดงว่าเราดื่มน้ำน้อยเกินไป


ออกกำลังกายเป็นประจำ

อย่างน้อย 2 - 3 วันต่อสัปดาห์ วันละ 30 นาที เพื่อช่วยให้หัวใจและปอดแข็งแรง กระตุ้นการทำงานของระบบเผาผลาญในร่างกาย


ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ

โรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินกว่าปกติ เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรังหลายอย่าง ทั้งความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหัวใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของโรคไตเสื่อมเรื้อรังเช่นเดียวกัน

 
พฤติกรรมเสี่ยงโรคไตที่ควรหลีกเลี่ยง

นอกจากการปฏิบัติตัวในข้างต้นแล้ว เรามีข้อแนะนำเกี่ยวกับพฤติกรรมต้องห้ามที่เสี่ยงต่อโรคไตวายเรื้อรังดังนี้


หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด

อาหารรสจัดมักเป็นอาหารที่มีโซเดียมสูง ส่งผลทำให้ความดันโลหิตสูง และเป็นโรคไตวายเรื้อรังในที่สุด


ไม่สูบบุหรี่

ยิ่งสูบบุหรี่ ยิ่งเสี่ยงเป็นโรคไตวายเรื้อรังสูง โดยผู้ที่สูบบุหรี่จะเสี่ยงมากกว่าคนไม่สูบถึง 4 เท่า นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของโรคต่าง ๆ อีกด้วย
หลีกเลี่ยงการรับประทานยาปฏิชีวนะติดต่อกัน

ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งานทุกครั้ง เพื่อไม่ให้ไตทำงานหนักโดยที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ไม่ควรซื้อยาปฏิชีวนะมากินเอง เพราะอาจทำให้ไตเสื่อมไวได้