head prakardsod






























































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 16
1
รถยนต์ไฟฟ้า 2024 เกีย KIA EV5 Earth Exclusive AWD ปี 2024
1,799,000 บาท 

เกีย KIA EV5 Earth Exclusive AWD ปี 2024
Kia EV5 Earth Exclusive AWD มาพร้อมตัวเลือกระบบส่งกําลังไฟฟ้าหลากรูปแบบ โดยในรุ่นนี้ติดตั้งแบตเตอรี่ขนาด 88.1 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้อหน้าขนาด 230 กิโลวัตต์ ให้ระยะทางจากพลังงานไฟฟ้าตามมาตรฐาน NEDC สูงสุดถึง 620 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง สามารถสร้างอัตราเร่งจาก 0 ถึง 100 กม./ชม. ภายในเวลา 6.1 วินาที ด้วยกําลังมอเตอร์สูงสุด 308 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดถึง 480 นิวตันเมตร มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว อีกทั้งยังมีฟีเจอร์มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยมากมาย

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             KIA
   รุ่น                  เกีย KIA EV5 Earth Exclusive AWD ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ SUV, Electric - EV
   ปีที่เปิดตัว          2024
   ราคา               1,799,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
สปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรค
ระบบควบคุมระยะการจอด (เซ็นเซอร์ ด้านหน้า, ข้าง และหลัง)
ไฟหน้า LED (แบบ Multi Reflection 3 จุด,ไฟหรี่หน้าแบบ LED)
ไฟท้าย LED
อุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ (มือจับประตูแบบ Flush type ทํางานแบบ อัตโนมัติ,วัสดุตกแต่งซุ้มล้อ และกาบข้างสีดําเงา)
ยางอะไหล่สำรอง (จะได้เป็นชุดอุปกรณ์ฉุกเฉิน)
หลังคาพาโนรามิคซันรูฟ (บริเวณด้านหน้า และหลัง)
ขนาดยางหน้า-หลัง (235/55R19)
ไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)

   ภายใน
พวงมาลัยหุ้มหนัง (สังเคราะห์ แบบ 4 ก้าน ปรับระดับ 4 ทิศทาง)
กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)
อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (แผงปิดสัมภาระอเนกประสงค์แบบปรับตั้งได้)
ระบบปรับรูปแบบการขับขี่ (ด้วยสวิตช์)
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display

สเปค
   มอเตอร์ไฟฟ้า                 มอเตอร์ไฟฟ้า Permanent Magnet Synchronous Motor กำลัง 308 แรงม้า แรงบิด 480 นิวตันเมตร ความเร็วสูงสุด 185 กม./ชม. อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.1 วินาที
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)    แรงม้า
   ระบบเกียร์                      เกียร์อัตโนมัติ
   รูปแบบเกียร์                    สวิตช์เกียร์แบบ Column-type Shift by Wire พร้อม Paddle Shift ปรับการทํางานของ Regenerative Brake
   ระบบเบรค ABS               มี
   ชนิดแบตเตอรี่                  ไฟฟ้า
   ความจุแบตเตอรี่                88.1 kWh
   ระยะทางวิ่ง/การชาร์จ 1 ครั้ง     620 กม. มาตรฐาน NEDC รองรับการชาร์จแบบกระแสสลับ (AC) สูงสุด  7 kW Single-phase / 11 kW Three-phase รองรับการชาร์จแบบกระแสตรง (DC) สูงสุด 141 kW ระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% ถึง 100% ผ่าน AC 8 ชม. 10 นาที ระยะเวลาในการชาร์จจาก 10% ถึง 80% ผ่าน DC Fast charge EVSE 38 นาที

   น้ำหนักตัวรถ                  2,130 กก.
   ประเภทยางรถยนต์               -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)               ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน               ขับเคลื่อนสี่ล้อ (All-Whell Drive)

ระบบความปลอดภัย

  อุปกรณ์ความปลอดภัย
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ESC และควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSA)
ดิสก์เบรก 4 ล้อ (พร้อมครีบระบายความร้อน)
กุญแจรีโมท (Smart Key)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD (พร้อมระบบ Multi-Collision Brake)
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบช่วยควบคุมให้รถอยู่ในช่องจราจร, ระบบป้องกันการชนด้านหน้าพร้อมตรวจจับรถยนต์ คน และจักรยาน พร้อม Junction Assist)
เข็มขัดนิรภัย (คูู่หน้าแบบ 3 จุด ELR ปรับระดับสูง -ต่ำ เข็มขัดนิรภัยแถวที่ 2 แบบ 3 จุด ELR และ ระบบแจ้งเตือนมีผู้โดยสารอยู ่ด้านหลัง)
ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (HAC และควบคมเบรกขณะลงทางลาดชัน DBC)
กล้อง (มองรอบทิศทาง)
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (ที่กระจกมองข้าง,ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาบนหน้าจอ)
เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA) (และระบบป้องกันการออกจากรถขณะมีรถวิ่งมาด้านข้าง)
เบรกมือไฟฟ้า (พร้อม Auto Brake Hold)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก ((ISOFIX) บนเบาะแถวที่ 2 และสวิตช์ควบคุมระบบป้องกันเด็กเปิดประตูหลังแบบไฟฟ้า)

2
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/



3
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: โรคขาดอาหารในเด็ก (Malnutrition)

โรคขาดอาหารในเด็ก หมายถึง ภาวะขาดโปรตีน (สารเสริมสร้างร่างกายให้เติบโตและแข็งแรง) และแคลอรี (สารสร้างพลังงานแก่ร่างกาย) จึงเรียกชื่อว่า โรคขาดโปรตีนและพลังงาน (protein energy malnutrition/PEM)

โรคนี้พบบ่อยในทารก และเด็กวัยก่อนเรียน (อายุต่ำกว่า 6 ปี) ซึ่งเป็นวัยที่กำลังเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความต้องการอาหารมากกว่าวัยอื่น ๆ

สาเหตุ

เด็กที่ขาดอาหารมักเป็นเด็กที่พ่อแม่ยากจน ด้อยการศึกษา และมีสิ่งแวดล้อมไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้เด็กได้รับอาหารไม่เพียงพอหรือไม่ถูกต้อง เช่น เด็กกินนมข้นหวานหรือน้ำข้าว เด็กได้อาหารเสริมช้าไปหรือไม่พอ และเด็กมักจะเจ็บป่วยบ่อย เช่น ท้องเดิน ไข้หวัด ปอดอักเสบ หัด ไอกรน เป็นต้น ซึ่งจะมีผลทำให้เด็กขาดอาหารมากขึ้น และยิ่งขาดอาหารก็ยิ่งเจ็บป่วยบ่อยเป็นวัฏจักรไปเรื่อย ๆ


อาการ

โรคนี้สามารถแสดงได้หลายแบบ ขึ้นกับความรุนแรงและสาเหตุของโรค เช่น

ถ้าเด็ดขาดอาหารไม่มาก ก็อาจมีน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบตามอายุ โดยเด็กยังดูแข็งแรงดีไม่มีอาการผิดปกติอื่นใด

ถ้าเด็กขาดแคลอรีอย่างมาก จะมีน้ำหนักน้อยกว่าปกติ มีลักษณะผอมแห้ง หนังหุ้มกระดูก ผิวหนังเหี่ยวย่น ตาลึก แก้มตอบ ดูคล้ายกับเด็กที่มีภาวะขาดน้ำ (ดู "อาการท้องเดิน/อุจจาระร่วง") แต่ไม่มีอาการบวม มักพบในเด็กอายุน้อยกว่า 1 ปี โรคขาดอาหารแบบนี้มีชื่อเรียกว่า มาราสมัส (marasmus)

ถ้าเด็กขาดโปรตีนอย่างมาก ก็จะทำให้มีอาการบวมที่มือและเท้า บางครั้งอาจบวมที่หน้าและบวมทั้งตัว น้ำหนักน้อยกว่าปกติ เด็กดูท่าทางเซื่องซึม ไม่สนใจสิ่งแวดล้อม เบื่ออาหาร ผมบางเปราะแห้งและมีสีจาง ผิวหนังมีผื่นสีกระดำกระด่าง และหลุดลอกเป็นแผลที่บริเวณก้น ขาหนีบและต้นขา และอาจมีอาการถ่ายอุจจาระเหลวและเป็นฟอง โรคขาดอาหารแบบนี้มีชื่อเรียกว่า ควาชิวากอร์ (kwashiorkor) ซึ่งถือเป็นภาวะที่รุนแรง อาจตายด้วยโรคแทรกซ้อน เช่น ท้องเดิน ปอดอักเสบ มักพบในเด็กอายุ 1-5 ปี


ภาวะแทรกซ้อน

ที่สำคัญคือ เด็กจะมีภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เช่น ไข้หวัด ท้องเดิน ปอดอักเสบ หัด เป็นต้น และเมื่อเป็นแล้วก็มักจะมีอาการรุนแรง อาจถึงตายได้ง่าย ๆ

นอกจากนี้โรคขาดอาหารยังมีผลทำให้สมองเจริญเติบโตไม่ดี เด็กอาจมีสติปัญญาต่ำกว่าปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

เด็กน้ำหนักน้อย ผอมแห้ง หรืออาจมีอาการบวม ผมบางเปราะแห้งและมีสีจาง มีอาการซีด ลิ้นมันเลี่ยน ตับโต

ในบางรายแพทย์อาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด ปัสสาวะ อุจจาระ หรืออื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้ามีอาการบวม เบื่ออาหาร และท่าทางเชื่องซึม หรือมีภาวะติดเชื้อรุนแรง แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล อาจต้องป้อนอาหารเด็กทางสายยาง รักษาโรคติดเชื้อ และแก้ไขภาวะอื่น ๆ ที่พบร่วม

2. ถ้าไม่มีอาการดังข้อ 1 ให้ดูแลรักษาดังนี้

    แนะนำการให้อาหารและการเลี้ยงดูที่ถูกต้อง เช่น การให้นม การให้อาหารเสริมต่าง ๆ
    ถ้ามีโรคติดเชื้อร่วมด้วย เช่น ไข้หวัด ท้องเสีย แผลพุพอง ทอนซิลอักเสบ ก็ให้ยารักษาตามแต่โรคที่พบร่วม
    ให้วิตามินรวม ยาบำรุงโลหิต

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ตัวเล็กหรือน้ำหนักน้อยกว่าปกติ บวม ซีด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคขาดอาหารในเด็ก ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบาย เช่น มีไข้ ท้องเดิน อาเจียน หายใจหอบ เบื่ออาหาร หรือ กินไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

การป้องกันโรคขาดอาหารในเด็ก อาจกระทำได้ดังนี้

1. แนะนำให้เลี้ยงลูกด้วยนมมารดานานอย่างน้อย 6 เดือน และอย่าให้ทารกหย่านมเร็วเกินไป โดยเฉพาะในครอบครัวที่ยากจนและมีลูกมาก

2. แนะนำการให้อาหารเสริมแก่ทารกให้ได้พอเพียง และถูกต้อง

3. แนะนำการให้วัคซีนป้องกันโรคแก่เด็กเล็ก

4. หมั่นชั่งน้ำหนักเด็ก ถ้าพบว่าน้ำหนักน้อยกว่าเกณฑ์ปกติ (ดูกราฟ) ควรแนะนำการเลี้ยงดู และการให้อาหารเสริม ถ้าไม่ได้ผล ควรแนะนำไปพบแพทย์

5. แนะนำพ่อแม่เด็กว่า เวลาเด็กเจ็บป่วย เช่น มีบาดแผลอักเสบ คางทูม หัด อีสุกอีใส เป็นต้น ไม่ต้อง อดของแสลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทโปรตีน (เช่น เนื้อ นม ไข่ ถั่วต่าง ๆ) ควรกินให้มาก ๆ เพื่อบำรุงร่างกายเด็ก

ข้อแนะนำ

พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรพาลูกหลานไปพบแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุขที่สถานพยาบาลใกล้บ้าน เพื่อตรวจสุขภาพ ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง ให้วัคซีนป้องกันโรค หากพบว่ามีน้ำหนักตัวผิดปกติหรือสงสัยมีภาวะขาดอาหารในระยะแรกเริ่ม ควรได้รับการดูแลรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรสาธารณสุข เพื่อแก้ไขและป้องกันไม่ให้กลายเป็นโรคขาดอาหารหรือภาวะทุพโภชนาการที่รุนแรง

4
mobile expo 2024: เปิดตัวสุดปัง ! nubia Flip 5G สมาร์ตโฟนจอพับรุ่นแรกในไทย ที่ราคาต่ำกว่า 20,000
 
ในช่วงหลังมานี้แบรนด์ต่างๆ ทยอยเปิดตัวสมาร์ตโฟนจอพับกันออกมามากขึ้น ซึ่งหากพิจารณาจากส่วนแบ่งทางการตลาดในไตรมาสแรกของปี 2024 จะเห็นว่า Huawei มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว สะท้อนถึงความนิยมของผู้บริโภคที่หันมาสนใจสมาร์ตโฟนจอพับกันเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีกหลายเท่าตัวในอนาคต แต่เนื่องจากเป็นนวัตกรรมใหม่ จึงทำให้ราคาของสมาร์ตโฟนกลุ่มนี้ยังค่อนข้างสูง โดยทั่วไปจะอยู่ในช่วง 20,000 บาทปลายๆ หากเป็นรุ่นเรือธงจะกระโดดไปถึง 60,000 - 70,000 บาท ซึ่งอาจไม่ใช่ราคาที่จับต้องได้ง่ายสำหรับคนทั่วไป

ZTE | nubia  จึงสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในตลาดสมาร์ตโฟนไทย ด้วยการเปิดตัว nubia  Flip 5G สมาร์ตโฟนจอพับรุ่นแรกที่ท้าชนราคาด้วยดีไซน์ทันสมัย และเทคโนโลยีสุดล้ำ มาพร้อมชิปเซต 5G และกล้องที่ถ่ายภาพได้ คมทุกชอต เก็บทุกโมเมนต์อย่างโปร อัดสเปกมาเต็มอิ่ม ในราคาเพียง 19,990 บาท !

โดยในงาน “2024 ZTE I nubia Redefines Mobile Photography” ที่จัดขึ้นวันที่ 21 มิถุนายน 2567 มีการเปิดตัวสมาร์ตโฟนพร้อมกันถึงสองรุ่นคือ nubia Flip 5G และ nubia Focus Pro 5G ซึ่งมาในคอนเซปต์ “ช่างกล้องมืออาชีพในกระเป๋าคุณ” ที่เน้นเรื่องการถ่ายภาพเหมือนกันแต่ต่างสไตล์

สำหรับ nubia Flip 5G ถูกออกแบบให้เป็นทรงจอพับ เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายเซลฟี่ สามารถตั้งกล้องเซลฟี่ได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะ หรือจุดต่างๆ ที่สามารถวางโทรศัพท์ได้ ส่วน nubia Focus Pro 5G มาพร้อมกับกล้องที่มีความละเอียดสูงถึง 108MP สามารถถ่ายวิดีโอที่มีความชัดระดับ 4K พร้อมระบบกันสั่น OIS+EIS ดีไซน์ปุ่มชัตเตอร์ Capture Button จับถนัดมือ เหมาะสำหรับการถ่ายภาพพอร์ตเทรต และวิวทิวทัศน์ ทำให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพได้สวยงามในทุกสภาพแสง คงเสน่ห์ของสีสันแห่งธรรมชาติให้สมจริงมากที่สุด

นอกจากจุดเด่นเรื่องกล้อง สเปกของทั้งสองรุ่นก็น่าสนใจไม่แพ้กัน รายละเอียดของสเปกคร่าวๆ มีดังนี้
nubia Flip 5G (ราคาเปิดตัว 19,990 บาท)
ดีไซน์จอพับ โดดเด่นทันสมัย พกพาสะดวก
ชิปเซต Snapdragon™ 7 GEN1 รองรับเครือข่าย 5G เร็วแรง ตอบสนองทุกการใช้งาน
หน้าจอด้านใน AMOLED ขนาด 6.9” ความละเอียด FHD+ ทำงานร่วมกับหน้าจอ OLED ขนาด 1.43” ด้านนอก
รองรับอัตรารีเฟรช 120Hz สัมผัสประสบการณ์ใช้งานที่ลื่นไหล
แบตเตอรี่ความจุ 4310mAh รองรับการชาร์จเร็ว 33W ใช้งานได้ยาวนานตลอดวัน ไม่ต้องกังวลเรื่องแบตหมด
หน่วยความจำ RAM 8+12GB รองรับการใช้งานหลายแอปพลิเคชันพร้อมกัน สลับแอปได้รวดเร็วไม่มีสะดุด จะดูหนัง เล่นเกม หรือท่องเว็บก็เพลิน
เสียงทรงพลังจากลำโพงคู่ พร้อมระบบเสียง DTS:X Ultra ให้คุณดื่มด่ำกับประสบการณ์อันยอดเยี่ยมราวกับกำลังนั่งอยู่ในโรงภาพยนตร์
กล้องหลังความละเอียด 50MP และกล้องหน้า 16MP
nubia Focus Pro 5G (ราคาเปิดตัว 7,XXX บาท)
ระบบกล้อง NEOVISION AI ผสานการทำงานระหว่างซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์อย่างลงตัว เพื่อการถ่ายภาพที่เหนือระดับราวกับมืออาชีพ
กล้องหลักความละเอียด 108MP รูรับแสง f/1.75 เซนเซอร์ขนาด 1/1.67 นิ้ว
กล้องหน้าความละเอียด 32MP รองรับการถ่ายเซลฟี่มุมกว้าง
กล้องมุมกว้าง/มาโคร ความละเอียด 5MP รองรับการถ่ายภาพระยะใกล้สุด 2 ซม. ถ่ายสวยทุกชอต เก็บทุกรายละเอียดคมชัดทุกมิติ
ความยาวโฟกัส 5 ระยะที่ 18 mm. 24 mm. 35 mm. 50 mm. และ 72 mm.
รองรับการถ่ายวิดีโอความละเอียด 4K

ใครที่เป็นสายถ่ายรูปแต่ไม่อยากแบกกล้อง หรือกำลังมองหาสมาร์ตโฟนสุดล้ำในราคาจับต้องได้ บอกได้คำเดียวว่าไม่ควรพลาด ! กับสมาร์ตโฟนสองรุ่นใหม่จากบ้าน nubia ที่ทั้งสเปคและราคาน่าสนใจสุดๆ

5
ความผิดปกติของฟันในเด็กแบบไหนที่ควรจัดฟันเด็ก

สุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็ก เป็นสุขอนามัยเบื้องต้นที่เด็กจะต้องฝึกดูแลรักษาความสะอาด ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยแนะนำและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดของเด็กให้เด็กได้เข้าใจและแปรงฟันอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย การที่เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี และช่วยในเรื่องของพัฒนาการของเด็กด้วย เพราะถ้าเด็กมีสุขภาพฟันที่ดี

เด็กก็จะมีสุขอนามัยที่ดี สามารถใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น เช่นการบดเคี้ยวอาหาร ก็จะส่งผลทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนและเต็มที่ ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดีด้วย อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครอง ควรที่จะพาเด็กไปพบทันตแพทย์ ก่อนที่ฟันน้ำนมจะขึ้นครบทั้งยี่สิบซี่ หรือเด็กมีอายุระหว่าง 2-3ขวบ เมื่อไปพบทันตแพทย์ครั้งแรกนั้น ทันตแพทย์จะพุดคุยกับเด็กก่อน เพื่อสร้างความสนิทสนม และสร้างทัศนคติที่ดีในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดช่องปากและฟันให้เด็ก จากนั้นก็จะแนะนำเครื่องมือในการทำฟันต่างๆ

เพื่อให้เด็กเกิดความคุ้นเคยและไม่กลัว จากนั้นจึงจะตรวจฟันเด็ก และให้คำแนะนำกับผู้ปกครองเกี่ยวกับวิธีรักษาความสะอาดฟันของเด็ก เพื่อที่จะได้ให้เด็กฝึกการแปรงฟันอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันฟันผุ เพราะถ้าหากเด็กเกิดฟันผุ ก็จะส่งผลเสียไปถึงอนาคตได้ ที่สำคัญที่สุดพ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสังเกตฟันของเด็ก ถ้าหากเด็กมีปัญหาก็ควรที่จะพาเด็กเข้ารับการรักษาหรือเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหา แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าปัญหาฟันของเด็กแบบไหนที่เหมาะที่จะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงปัญหาฟันในเด็กที่เหมาะสมที่จะเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะได้เป็นแนวทางในการพาเด็กเข้ารับการจัดฟัน เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกต้อง

 การเกิดฟันผุในเด็กนั้น หรือปัญหาที่มีความรุนแรงถึงขั้นสูญเสียฟัน ต้องบอกว่า หลายปัญหาอาจลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ เช่น อาการฟันสบคร่อม ที่ฟันล่างสบคร่อมทับฟันบน ในเด็กหากทิ้งไว้ไม่รักษา ขากรรไกรอาจมีขนาดผิดปกติ ทำให้ใบหน้าเว้า หน้าเบี้ยว และอาจทำให้เกิดความผิดปกติ ที่ข้อต่อขากรรไกรได้ รวมไปถึงถ้าหากเด็กมีภาวะฟันแท้หาย หรือขึ้นไม่ครบ ควรพามาพบทันตแพทย์จัดฟัน เพราะอาจช่วยดึงฟันที่ฝังให้งอกขึ้นมาได้

เด็กจะได้ไม่ต้องเป็นคนฟันหลอ หรือไม่ต้องใส่ฟันปลอม ไม่ต้องใส่รากฟันเทียม ซึ่งการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้ามารักษาด้วยการจัดฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปี ถ้าหากพบปัญหาการสบฟันที่ผิดปกติ เด็กวัยนี้ก็สามารถจัดฟันได้แล้ว สำหรับในแง่ของปัญหาฟันในเด็กที่เหมาะสมที่ควรเข้ารับการจัดฟันก็มีสัญญาณบ่งบอกที่บอกว่าควรเข้ารับการจัดฟัน เพราะในวัยเด็ก เป็นวัยที่เหมาะสมเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหาความผิดปกติ คือ ปัญหาฟันหน้ายื่น ปัญหาการที่ฟันสบกันผิดปกติ ฟันซ้อน ฟันขึ้นผิดตำแหน่ง ฟันน้ำนมหลุดเร็วเกินไป หรือหลุดช้าเกินไป หรือต้องเสียฟันน้ำนมแบบไม่ปกติ

ฟันหรือลักษณะขากรรไกร ดูผิดสัดส่วน เด็กยังติดการดูดนิ้วจนอายุเกิน 5 ปี มีอาการกัดหรือบดเคี้ยวอาหารลำบาก เด็กชอบหายใจทางปาก นี่คือสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติที่ควรที่จะเข้ารับการจัดฟันเพื่อแก้ไขปัญหา หากปล่อยทิ้งไว้อาจจะทำให้ปัญหาที่มีอยู่เกิดความรุนแรงขึ้นได้ และอาจจะส่งผลต่อฟันบริเวณใกล้เคียงด้วย ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการตรวจฟันเป็นประจำและถ้าหากมีสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติก็ควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันทันที เพื่อเข้ารับการแก้ไข

 อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็กและเข้าปรึกษากับทันตแพทย์จัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแทพย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก รวมไปถึงมีประสบการณ์ยาวนานด้านการจัดฟัน จึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้อง และแนะนำวิธีการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันให้มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเกิดฟันผุตั้งแต่อายุยังน้อย ลดปัญหาการเกิดความผิดปกติของช่องปากและฟัน เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจกรรมต่างๆได้อย่างเต็มที่

6
ลงประกาศฟรี / Doctor At Home: คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)
« เมื่อ: วันที่ 20 พฤศจิกายน 2024, 13:20:40 น. »
Doctor At Home: คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)

คางทูม เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของต่อมน้ำลาย โดยมากมักจะเป็นที่ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid glands) พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี มักไม่พบในเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้ใหญ่อายุมากกว่า 40 ปี มีอุบัติการณ์สูงในเดือนมกราคมถึงเมษายน และกรกฎาคมถึงกันยายน อาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อคางทูม ซึ่งเป็นไวรัสในกลุ่ม paramyxovirus เชื้อจะอยู่ในน้ำลายและเสมหะของผู้ป่วย ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสมหะที่ผู้ป่วยไอหรือจามรด หรือโดยการสัมผัสถูกมือ สิ่งของเครื่องใช้ (เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน ชาม เป็นต้น) หรือสิ่งแวดล้อมที่แปดเปื้อนเชื้อแบบเดียวกับไข้หวัด เชื้อเข้าสู่ร่างกายทางจมูกและปาก แล้วแบ่งตัวในเซลล์เยื่อบุของทางเดินหายใจส่วนต้น หลังจากนั้นเชื้อจะเข้าสู่กระแสเลือด แพร่กระจายไปยังอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะต่อมน้ำลายข้างหู

ระยะฟักตัว 2-4 สัปดาห์ (เฉลี่ย 16-18 วัน)

ตำแหน่งของต่อมน้ำลาย
 

อาการ

ที่สำคัญ คือ ขากรรไกรบวม 1-2 ข้าง โดยแรกเริ่มผู้ป่วยจะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร บางรายอาจเจ็บคอภายใน 24 ชั่วโมง (บางรายอาจหลายวัน) ต่อมาจะมีอาการปวดที่ข้างแก้มใกล้ใบหูหรือปวดหู ซึ่งจะเป็นมากขึ้นเวลาพูด เคี้ยว หรือกลืน หรือเวลากินอาหารรสเปรี้ยว เช่น น้ำส้ม มะนาว ต่อมาจะเกิดอาการบวมที่ขากรรไกรบริเวณใต้หูและข้างหู (ทั้งด้านหน้าและหลังหู) ทำให้ใบหูถูกดันขึ้นข้างบน ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดมากขึ้น จนบางครั้งพูด เคี้ยว หรือกลืนลำบาก อาการบวมและปวดจะเป็นมากสุดภายใน 1-3 วัน แล้วค่อย ๆ ลดลง และส่วนใหญ่จะหายไปภายใน 4-8 วัน บางรายอาจนานถึง 10 วัน ส่วนอาการไข้ส่วนใหญ่จะเป็นอยู่ 3-4 วัน บางรายอาจเป็นอยู่ประมาณ 1-6 วัน

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีขากรรไกรบวมข้างเดียวก่อน ต่อมาอีก 1-2 วัน (บางรายหลายวัน) จึงบวมอีกข้าง ประมาณร้อยละ 25 ของผู้ป่วยจะมีอาการบวมเพียงข้างเดียว

บางรายอาจมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง (submandibular glands) และใต้ลิ้น (sublingual glands) ร่วมด้วย ทำให้มีอาการบวมที่ใต้คาง

บางรายอาจมีขากรรไกรบวมโดยไม่มีอาการอื่น ๆ นำมาก่อน หรืออาจมีเพียงอาการไข้โดยขากรรไกรไม่บวมก็ได้

ประมาณร้อยละ 30 ของผู้ที่ติดเชื้อคางทูมจะไม่แสดงอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อให้คนอื่นได้


ภาวะแทรกซ้อน

ส่วนมากจะหายได้เองโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน ส่วนน้อยที่อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย ซึ่งเป็นอาการแสดงของการติดเชื้อคางทูมของเนื้อเยื่อส่วนอื่น ซึ่งอาจแสดงอาการก่อน ขณะ หรือหลังขากรรไกรบวม หรืออาจเกิดขึ้นโดยไม่มีอาการขากรรไกรบวมก็ได้

ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย ได้แก่ อัณฑะอักเสบ (orchitis) พบได้ประมาณร้อยละ 30-38 จะมีอาการไข้สูง หนาวสั่น อัณฑะปวดและบวม (จะปวดมากใน 1-2 วันแรก) มักพบหลังเป็นคางทูม 7-10 วัน แต่อาจพบก่อนหรือพร้อม ๆ กับคางทูมก็ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพียงข้างเดียวและน้อยรายที่จะกลายเป็นหมัน มักพบหลังวัยแตกเนื้อหนุ่ม ส่วนใหญ่พบในช่วงอายุ 30-40 ปี ในเด็กอาจพบได้บ้าง แต่น้อยกว่าในผู้ใหญ่มาก

อาจพบรังไข่อักเสบ (oophoritis) ซึ่งจะมีอาการไข้และปวดท้องน้อย มักพบในวัยแตกเนื้อสาว ซึ่งบางครั้งอาจทำให้เป็นหมันได้

อาจทำให้แท้งบุตรในกรณีติดเชื้อคางทูมในระยะไตรมาสแรกของการตั้งครรภ์

อาจพบเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นสาเหตุของเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยที่สุด มักมีอาการเพียงเล็กน้อยและหายได้เอง ส่วนสมองอักเสบอาจพบได้บ้างแต่น้อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นไม่รุนแรง ส่วนน้อยอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนทางสมอง หรือร้ายแรงถึงตาย

นอกจากนี้ ยังอาจพบตับอ่อนอักเสบ ประสาทหูอักเสบ (อาจทำให้หูตึงหรือสูญเสียการได้ยินชั่วคราวหรือถาวรได้) ไตอักเสบ ต่อมไทรอยด์อักเสบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ข้ออักเสบ ตับอักเสบ ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ แต่ล้วนเป็นภาวะที่พบได้น้อยมาก


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

มักตรวจพบไข้ 38-40 องศาเซลเซียส (บางรายอาจไม่มีไข้) บริเวณขากรรไกรบวมข้างหนึ่งหรือทั้ง 2 ข้าง กดเจ็บ

รูเปิดของท่อน้ำลายในกระพุ้งแก้ม (บริเวณตรงกับฟันกรามบนซี่ที่ 2) อาจมีอาการบวมแดงเล็กน้อย

อาจพบอาการลิ้นบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้ลิ้นอักเสบ) หรือหน้าอกตรงส่วนใต้คอบวม (ในรายที่มีต่อมน้ำลายใต้คางบวม)

ในรายที่จำเป็นต้องวินิจฉัยโรคคางทูมให้แน่ชัด แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การตรวจเลือด (ทำการทดสอบทางน้ำเหลือง) เพื่อหาระดับสารภูมิต้านทานต่อเชื้อคางทูม การตรวจหาเชื้อคางทูมจากน้ำลาย น้ำไขสันหลัง หรือปัสสาวะ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าพบผู้ป่วยมีอาการขากรรไกรบวม มีประวัติ (เช่น การสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่เป็นคางทูม) และอาการ (มีไข้ ปวดขากรรไกรมาก่อน) เข้าได้กับโรคคางทูม โดยไม่มีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ก็ให้การรักษาตามอาการโดยไม่ต้องให้ยาปฏิชีวนะ แนะนำให้ผู้ป่วยนอนพัก ดื่มน้ำมาก ๆ เช็ดตัวเวลามีไข้สูง หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบ ถ้าปวดมากใช้กระเป๋าน้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบ

ในช่วงที่ขากรรไกรบวมหรือปวดมาก หรืออ้าปากลำบาก แนะนำให้ผู้ป่วยกินอาหารอ่อนหรือที่เคี้ยวง่าย

ถ้าไข้ไม่สูงหรือไม่มีไข้ ไม่ต้องให้ยา ถ้าไข้สูงให้พาราเซตามอล ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม

2. ถ้ามีอัณฑะอักเสบ ให้ประคบด้วยน้ำแข็ง ให้ยาลดไข้แก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ส่วนใหญ่มักหายได้เองภายใน 1 สัปดาห์

ในรายที่อักเสบรุนแรงหรือให้ยาลดไข้แก้ปวดแล้วไม่ทุเลา แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ลดการอักเสบ เช่น ให้เพร็ดนิโซโลน

3. ถ้ามีอาการปวดท้องรุนแรง ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็ง ชัก หรือซึมไม่ค่อยรู้สึกตัว แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงพยาบาล ทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม และให้การรักษาตามสาเหตุที่ตรวจพบ

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ให้การรักษาตามอาการ มักจะหายได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ ส่วนน้อยที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนตามมา


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจ หรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นคางทูม ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตัว ดังนี้

    พักผ่อนมาก ๆ ห้ามอาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเวลามีไข้สูง ดื่มน้ำมาก ๆ หลีกเลี่ยงอาหารรสเปรี้ยว
    กินอาหารตามปกติหรืออาหารอ่อน (เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก)
    ใช้น้ำอุ่นประคบบริเวณที่เป็นคางทูม
    ถ้ามีไข้สูง หรือปวด กินยาลดไข้แก้ปวด - พาราเซตามอล* (ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 19 ปี ควรหลีกเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม)  (ดู โรคเรย์ซินโดรม)

2. ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ไม่ค่อยรู้สึกตัว ปวดศีรษะมาก อัณฑะปวดและบวม ปวดท้องนานเป็นชั่วโมง ๆ เจ็บหน้าอกมาก หรือตาเหลืองตัวเหลือง
    มีอาการเหงือกอักเสบ
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    อาการไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ


การป้องกัน

1. การฉีดวัคซีนป้องกัน แนะนำให้ฉีดวัคซีนรวมป้องกันหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน (MMR) แก่เด็กทุกคน โดยฉีดเข็มแรกเมื่ออายุ 9-12 เดือน และฉีดซ้ำอีกครั้งเมื่ออายุ 4-6 ปี

2. ในช่วงที่มีการระบาดหรือมีคนใกล้ชิดป่วยเป็นโรคนี้ แนะนำให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับไข้หวัด


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้เกิดจากไวรัส ถือเป็นโรคที่ไม่ร้ายแรง ซึ่งมักจะหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่ต้องฉีดยาหรือให้ยาจำเพาะแต่อย่างใด การที่ชาวบ้านในสมัยก่อนหรือบางคนนิยมเขียน “เสือ” ด้วยตัวหนังสือจีนที่แก้มทั้ง 2 ข้าง หรือใช้ปูนแดงหรือครามป้ายแล้วหายได้นั้นก็เพราะเหตุนี้

2. ควรแยกผู้ป่วยออกต่างหาก อย่าให้คลุกคลีกับคนอื่น จนกว่าจะพ้นระยะติดต่อ (ระยะติดต่อตั้งแต่ 4 วันก่อนมีอาการจนกระทั่ง 9 วัน หลังมีอาการ)

3. ควรเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะในผู้ใหญ่ หากสงสัยควรส่งไปตรวจที่โรงพยาบาล

4. เมื่อเป็นแล้วมักจะไม่เป็นซ้ำอีก

5. อาการคางบวม อาจมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ ได้ ควรซักถามอาการและตรวจร่างกายให้ถี่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจดูภายในปากและลำคอ (ตรวจอาการ คางบวม/คอบวม ประกอบ) และถ้าให้การดูแลรักษาตามอาการ 1 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา ก็ควรค้นหาสาเหตุอื่นต่อไป เช่น เมลิออยโดซิส ต่อมน้ำลายอักเสบ*

6. ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 หรือมีประวัติสัมผัสผู้ป่วยโรคนี้ หากมีอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ (เช่น ไข้ เจ็บคอ เสียงแหบ น้ำมูกไหล ไอ ท้องเดิน หายใจเหนื่อยหอบ) หรือทำการตรวจหาเชื้อด้วยชุดตรวจแอนติเจน (ATK) ด้วยตนเองให้ผลเป็นบวก ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

* ต่อมน้ำลายอักเสบ (parotitis) มักมีลักษณะเป็นก้อนนุ่ม ๆ ที่มุมขากรรไกร หรือใต้คางอย่างเรื้อรัง อาจมีอาการเจ็บปวดร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้ อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย อาจเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชักนำชัดเจนก็ได้ บางรายอาจพบว่ามีภาวะอุดกั้นของท่อน้ำลายจากก้อนนิ่ว  เนื้องอก  หรือท่อน้ำลายตีบ  หากพบควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาที่ถูกต้อง

7
มอเตอร์เอ็กซ์โปร์ 2024: เลกซัส Lexus LM 500h Executive 6-Seater ปี 2024
6,990,000 บาท

เลกซัส Lexus LM 500h Executive 6-Seater ปี 2024
Lexus LM 500h Executive 6-Seater โดย LM ย่อมาจาก “Luxury Mover” สื่อถึงความตั้งใจในการพัฒนารถรุ่นนี้เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของลูกค้า ที่ต้องการใช้รถ MPV แบบมีคนขับ ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2,393 ซีซี ระบบไฮบริดใหม่ 366 แรงม้า ผสานกับเทคโนโลยีขับเคลื่อนสีล้อแบบ Direct4 โครงสร้างตัวถังพัฒนาขึ้นภายใต้สถาปัตยกรรมโครงสร้าง GA-K ที่แข็งแกร่งขึ้น และใช้วัสดุที่มีน้ำหนักเบา ให้ผู้โดยสารด้านหลังเดินทางได้อย่างสะดวกสบายสูงสุด

รายละเอียดเบื้องต้น
   แบรนด์             Lexus
   รุ่น                  เลกซัส Lexus LM 500h Executive 6-Seater ปี 2024
   ประเภทรถ         รถอเนกประสงค์ MPV, รถไฮบริด
   ปีที่เปิดตัว         2024
   ราคา              6,990,000 บาท

ดีไซน์
   ภายนอก
มูนรูฟ (หลังคาแบบมูนรูฟด้านหลังแยกซ้ายขวา)
ประตูระบบไฟฟ้า (ด้านข้างสไลด์ไฟฟ้าแบบ E-latch)
กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว
ไฟหน้า (ระบบปรับไฟหน้าอัจฉริยะ,ไฟส่องมุมหน้ารถ)
ระบบกันสะเทือนแบบสปอร์ต (ระบบช่วงล่่างไฟฟ้า Adaptive Variable Suspension (AVS))
ไฟหน้า LED (3-LED)
ขนาดยางหน้า-หลัง (225/55 R19)
ไฟ Daytime Running Lights
ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)

   ภายใน
พวงมาลัยหุ้มหนัง (ประดับลายไม้)
พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (,เข้า-ออกได้)
กระจกมองหลังตัดแสง
อุปกรณ์วัดความเร็วสะท้อนกระจก Head Up Display
พวงมาลัยไฟฟ้า

สเปค
   เครื่องยนต์
T24A-FTS / มอเตอร์ไฟฟ้า  Permanent Magnet Motor 2 ตัว (หน้า 86 แรงม้า,หลัง 102 แรงม้า) ให้พลังรวมทั้งระบบที่ 366 แรงม้า ความเร็วสูงสุด 185 กม./ช่ม., อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 6.9 วินาที และ อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย 15.2 กม./ลิตร ค่าเฉลี่ยมลพิษCO2 149 กรัม/กม. มาตรฐานการปล่อยมลพิษ EURO6

   ขนาดเครื่องยนต์ (CC)      2,393 CC
   กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)   271 แรงม้า
   ระบบเกียร์                    เกียร์ออโต้ 6AT
   รูปแบบเกียร์
   ระบบเบรค ABS              มี
   ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง      เบนซิน 95, แก๊สโซฮอล์ 95 (E10), ไฮบริด
   ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)      60 ลิตร
   ระบบจ่ายน้ำมัน               SFI (D-4ST)
   น้ำหนักตัวรถ                  2,905 กก.
   ประเภทยางรถยนต์            -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)               ล้ออัลลอย (19 นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน              ขับเคลื่อนสี่ล้อ (Direct4)

ระบบความปลอดภัย

อุปกรณ์ความปลอดภัย 
ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ
กุญแจรีโมท (แบบการ์ด)
ไฟเบรกดวงที่ 3
สัญญาณเตือนถอยหลัง
ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ
ระบบป้องกันการโจรกรรม (แบบ Immobiliser และ Intrusion Sensor พร้อมสัญญาณเตือนอัตโนมัติ)
ระบบกระจายแรงเบรก EBD
อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยอื่นๆ (ระบบติดตามช่องทางวิ่ง,ระบบช่วยเบรค,ระบบเตือนแรงดันลมยาง)
เข็มขัดนิรภัย (แบบ 3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและลดแรงกระชาก เบาะนั่งด้านหน้าและที่ 1 เบาะแถวหลัง,เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด (ที่นั่งตอนหลังแถัวสอง))
กระจกนิรภัย (กระจกหน้า,ประตูหน้าต่าง,ประตูหลัง ตัดแสง UV และฟังชั่นซับเสียง)
ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล
ระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกะทันหัน
ระบบช่วยนำรถเข้าจอดอัตโนมัติ
เทคโนโลยีเตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning - BSW) (ระบบช่วยเปลี่ยนเลน พร้อมสัญญาณเตือนมุมอับสายตา)
จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISO FIX-Compliant (สำหรับที่นั่งตอนหลัง))

8
ตรวจสุขภาพ: โลหิตเป็นพิษในทารกแรกเกิด (Septicemia of newborn)

มักพบในทารกที่มารดามีประวัติน้ำเดิน (ถุงน้ำคร่ำแตก) ก่อนคลอดหลายชั่วโมง มารดาเป็นไข้ มีโรคติดเชื้อก่อนคลอด มีประวัติการตกเลือด หรือครรภ์เป็นพิษ รวมทั้งทารกที่คลอดผิดปกติ (คลอดยาก คลอดก่อนกำหนด หรือน้ำหนักน้อยกว่าปกติ) ถือเป็นภาวะร้ายแรง ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้


สาเหตุ

เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย จนลุกลามเข้ากระแสเลือด และกระจายไปทั่วร่างกาย


อาการ

เด็กจะมีอาการซึม ไม่ยอมดูดนม อาจมีไข้หรือไม่มีก็ได้

อาจมีอาการท้องอืด ท้องเสีย อาเจียน หอบ ชัก ซีด มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว

อาการดีซ่านมักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด หรือ 1 สัปดาห์หลังคลอด


ภาวะแทรกซ้อน

ภาวะไตวาย ช็อก ภาวะเลือดจับเป็นลิ่มทั่วร่างกาย (DIC)


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและการตรวจพบไข้ ซีด เหลือง มีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว ตับโต ม้ามโต

แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เพาะเชื้อ เอกซเรย์


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ฉีดเพนิซิลลินขนาดสูง ๆ หรือฉีดเจนตาไมซิน (gentamicin) คาร์เบนิซิลลิน (carbenicillin) เซฟาโลสปอริน (cephalosporin) หรือยาปฏิชีวนะอื่น ๆ ตามชนิดของเชื้อที่เป็นสาเหตุ

นอกจากนี้จะให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้น้ำเกลือ ให้เลือด ทำการล้างไต (dialysis) เป็นต้น


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น ทารกมีอาการไข้ ซึม ไม่ยอมดูดนม ตาเหลืองตัวเหลือง มีอาการท้องอืด ท้องเสีย อาเจียน หอบ ชัก ซีด หรือมีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโลหิตเป็นพิษในทารกแรกเกิด ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    หลังออกจากโรงพยาบาลมีอาการไข้กำเริบ ซึม ไม่ยอมดูดนม หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่ทำให้รู้สึกวิตกกังวล
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

ทารกแรกเกิดที่มีอาการไม่สบายซึ่งสงสัยเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น มีไข้ ซึม ไม่ยอมดูดนม ท้องเสีย อาเจียน เป็นต้น) ควรไปพบแพทย์เพื่อการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ จนหายขาด ก็จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโลหิตเป็นพิษแทรกซ้อนได้

9
ทาวน์โฮม ไอลีฟ พราวด์ วงแหวน รังสิต - คลอง 4 (I Leaf Proud Wongwaen-Rangsit Klong4)
เริ่มต้น 1.89 ลบ. 

ไอลีฟ พราวด์ วงแหวน รังสิต - คลอง 4 (I Leaf Proud Wongwaen-Rangsit Klong4)
พบกับทาวน์โฮมบนทำเลรังสิต-คลอง4 ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก คลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสวนส่วนกลาง โครงการตั้งอยู่ใกล้ศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจรังสิต คลอง4 และทางด่วนวงแหวนกาญจนาฯ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               ไอลีฟ พราวด์ วงแหวน รังสิต - คลอง 4 (I Leaf Proud Wongwaen-Rangsit Klong4)
 เจ้าของโครงการ         กานดา พร็อพเพอร์ตี้
 ราคา                      เริ่มต้น 1.89 ลบ.

 ประเภทบ้าน           ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล         บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด       2 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 110 ถึง 125 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            2 ชั้น
 หน้ากว้าง            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน     4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ     2 คัน
 สาธารณูปโภค       สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง        147 หมู่ 4 อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี 12120

 ขนส่งสาธารณะ            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดไท
ตลาดรังสิต
ตลาดคลอง 4 เมืองใหม่
ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
เทสโก้ โลตัส
เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
เซียร์ รังสิต
ดูโฮม รังสิต
โรงเรียนนานาชาติสยาม
โรงเรียนนนภร
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาลัยนอร์ทกรุงเทพ
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ,
โรงพยาบาลแพทย์รังสิต,
โรงพยาบาลเปาโล-รังสิต,
โรงพยาบาลบางปะกอก-รังสิต 2

10
บริการด้านอาหาร: กินอย่างไร เมื่อให้เคมีบำบัด

ในเรื่องของการรับประทานอาหาร ถือว่ามีความสำคัญสำหรับทุกคน เพราะสุขภาพร่างกายที่ดีนั้น เริ่มได้จากการรับประทานอาหาร เนื่องจากร่างกายของเรานั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับสารอาหารที่ประโยชน์ต่อร่างกาย เพื่อที่จะได้ไปหล่อเลี้ยงและบำรุงร่างกาย เพื่อสร้างพลังงานในการใช้ชีวิตประจำวัน แต่ในทางกลับกัน บางคนมีสุขภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงหรือมีโรคประจำตัว ไม่ว่าจะเกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน หรือพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเกิดโรคภัยไข้เจ็บได้เช่นเดียวกัน ดังนั้น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่ป่วยเป็นโรคประจำตัวหรือมีโรคร้ายอย่าง มะเร็ง ซึ่งจำเป็นอย่างมากที่ต้องได้รับการดูแลในเรื่องของอาหารการกินให้มากเป็นพิเศษ


เพราะถ้าหากป่วยเป็นมะเร็งแล้ว และต้องรักษาด้วยเคมีบำบัด การรับประทานอาหารถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมากที่สุด เพราะบางรายเมื่อต้องให้เคมีบำบัด อาจจะได้รับผลข้างเคียงเช่น ไม่สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ เพราะอาจจะมีภาวะเบื่ออาหาร หลังจากให้ยาเคมี ประกอบกับร่างกายที่ไม่แข็งแรง ถ้าหากไม่ได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือมีร่างกายที่อ่อนแอไปด้วย ก็จะยิ่งทำให้ร่างกาย ภูมิคุ้มกันยิ่งอ่อนแอลงไปอีก ดังนั้น วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของอาหารการกินของผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องให้ยาเคมีบำบัด เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ป่วยหลายคนที่กำลังให้ยาเคมีบำบัดได้รับประทานอาหารได้อย่างถูกต้อง เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

สำหรับเคล็ดลับการรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยมะเร็งทั้งก่อนหรือระหว่างและหลังการรักษา อาหารเป็นหนึ่งองค์ประกอบสำคัญในขั้นตอนการรักษา เพราะการรับประทานอาหารที่ถูกต้อง ช่วงก่อน ระหว่าง และหลังการรักษา จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดี และแข็งแรงมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงก่อนการรักษาเมื่อโรคมะเร็งถูกวินิจฉัย การรักษาโรคอาจประกอบด้วย การผ่าตัด การฉายแสง (รังสีรักษา) เคมีบำบัด การใช้ฮอร์โมนรักษา และการใช้หลายวิธีร่วมรักษาการรักษาโรคมะเร็งจะมีเป้าหมายเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง แต่อย่างไรก็ตามเซลล์ที่ปกติอาจถูกทำลายบางส่วนทำให้เกิดอาการ เบื่ออาหาร น้ำหนักเพิ่มหรือลด เจ็บปากและคอ มีอาการปากแห้ง หรือการรับรสชาด และรับกลิ่นเปลี่ยนไป มีอาการคลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อ่อนเพลีย หรือซึมเศร้า จะสังเกตได้ว่า อาการข้างเคียงหลังจากให้ยาเคมีบำบัด ส่วนใหญ่จะส่งผลกระทบต่อการรับประทานอาหาร


ดังนั้น การที่ผู้ป่วยไม่ได้รับอาหารที่เพียงพอ อาจจะทำให้ร่างกายอ่อนแอมากว่าเดิม จึงจำเป็นที่ต้องได้รับอาหารที่มีประโยชน์ แต่อย่างไรก็ตามการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่ ก็จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้เร็วขึ้น อาหารที่มีรสชาติอ่อนๆ ย่อยง่าย และอุดมไปด้วยสารอาหารจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในช่วงทำเคมีบำบัด ได้แก่ อะโวคาโด เป็นผลไม้ที่มีไขมันดี ที่ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL และช่วยเพิ่มคอเลสเตอรอล HDL อีกด้วย ที่สำคัญอะโวคาโดยังให้พลังงานแคลอรี่ที่สูง และช่วยให้รู้สึกอิ่มได้ง่าย จึงเหมาะกับผู้ที่เบื่ออาหาร ต่อมาคือ ไข่ ซึ่งหารับประทานได้ง่าย อุดมไปด้วยโปรตีนและไขมัน จะช่วยเป็นพลังงานให้กับร่างกาย ส่วนโปรตีนจะช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อ ซึ่งทั้งสองอย่างเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นอย่างมากในช่วงทำเคมีบำบัด นอกจากนี้ ไข่ ยังสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารอ่อน ๆ เคี้ยวและรับประทานได้ง่าย จึงเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการอ่อนเพลีย


นอกจากนี้ ในช่วงที่ทำเคมีบำบัดการรับรู้รสชาติจะมีการเปลี่ยนแปลงไป แม้กระทั่งรสชาติของน้ำเปล่า จึงทำให้ผู้ป่วยดื่มน้ำได้น้อย อาหารประเภทน้ำซุป จึงเป็นทางเลือกที่ดี ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยได้ดื่มน้ำที่มากขึ้น ไม่ทำให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากการที่น้ำซุปเกิดจากการตุ๋นผักและเนื้อต่าง ๆ เข้าด้วยกัน จึงทำให้น้ำซุปมีรสชาติ แถมยังอุดมไปด้วยสารอาหารมากมายที่ร่างกายต้องการ


นอกจากนี้แล้วด้วยความที่น้ำซุปจัดเป็นอาหารเหลว ผู้ป่วยจึงสามารถรับประทานได้ง่ายขึ้น สำหรับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อย่างปลา ซึ่งเป็นเนื้อสัตว์ที่รับประทานได้ง่าย แถมยังมีโปรตีน และกรดไขมัน โอเมก้า 3 มาก ซึ่งมันจะช่วยบำรุงสมองและต้านอาการอักเสบ รวมไปถึงการรับประทานปลาที่มีไขมันมากยังช่วยให้น้ำหนักไม่ลดลงไปมาก เพราะได้รับไขมันดีจากปลา ชนิดปลาที่ให้ปริมาณไขมันโอเมก้า 3 มาก เช่น แซลมอน ทูน่า ซาร์ดีน เป็นต้น ทั้งหมดนี้คือ อาหารที่ผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องได้รับยาเคมีบำบัดควรที่จะรับประทานให้ร่างกายได้ฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว


อย่างไรก็ตาม การรับประทานที่มประโยชน์ ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อผู้ป่วย ดังนั้น ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี โดยการหันมาดูแลตัวเอง โดยเริ่มจากการรับประทานอาหาร ซึ่งทางเราได้เน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนใส่ใจในเรื่องอาหารการกิน และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรง เราก็จะมีสุขภาพที่ดีได้ไม่ยาก

11
จัดฟันบางนา: วิธีดูแลเหงือกให้แข็งแรง ป้องกัน เหงือกอักเสบ 

เหงือกและฟัน ถือเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุดในช่องปากที่ต้องได้รับความเอาใจใส่และดูแลให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะเหงือกและฟันเป็นสองอวัยวะที่สำคัญที่ใช้ในการบดเคี้ยวอาหาร และการรับประทานอาหาร เนื่องจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปทุกอย่างจะต้องผ่านสองตัวนี้ หากส่วนใดส่วนหนึ่งเกิดปัญหาย่อมจะส่งผลกระทบต่อการทำงานของระบบย่อยอาหารด้วย ซึ่งหากระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติก็จะส่งผลต่อร่างกายทำให้มีอาการปวดท้องหรือท้องอืดท้องผูก เป็นต้นนอกจากสุขภาพฟันแล้วเหงือกยังเป็นอวัยวะที่สำคัญส่วนหนึ่งที่ต้องได้รับการดูแลและไม่ควรปล่อยประละเลยหรือมองข้าม เพราะเหงือกเป็นตัวปกคลุมกระดูกและเป็นตัวช่วยยึดรากฟันและพยุงตัวฝันเอาไว้


หากมีปัญหาโรคเหงือกก็จะทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะตัวฟันนั้น ได้ลงทำให้เกิดอาการฟันโยกและเป็นสาเหตุนำไปสู่การสูญเสียฟันได้ โดยปกติแล้วในชีวิตประจำวันของเราจะต้องทำความสะอาดช่องปากและฟันเป็นประจำทุกวัน และการทำความสะอาดช่องปากและฟันนั่นเอง ก็เป็นส่วนที่ช่วยดูแลทำให้เรามีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงและไม่มีปัญหา รวมไปถึงพฤติกรรมการรับประทานอาหารของแต่ละคน ซึ่งจะต้องมีความแตกต่างกันและก็ยังเป็นสาเหตุสำคัญที่ส่งผลให้สุขภาพช่องปากและฟันมีปัญหาอีกด้วย เพราะถ้าหากเราเป็นโรคเหงือกก็จะส่งผลและมีอาการอื่นๆตามมา เช่นเหงือกอักเสบคือ จะมีลักษณะอาการคือเหงือกบวมแดง มีเลือดซึมบริเวณร่องเหงือกขณะแปรงฟัน และยังทำให้มีเลือดออกบริเวณซอกฟันเนื้อเยื่อที่อยู่รอบรอบรากฟันจะมีการอักเสบ มีหนอง มีกลิ่นปากและจะทำให้มีปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร


ซึ่งวิธีที่จะดูแลสุขภาพเหงือกให้แข็งแรงก็สามารถทำให้ง่าย ด้วยการแปรงฟันแต่เราต้องหมั่นสังเกตอาการของเหงือกว่ามีลักษณะอย่างไรบ้างหากเมื่อมีสีแดงคล้ำ บวมและรู้สึกเจ็บ มีกลิ่นปากฟันดูยาวขึ้น เพราะเหงือกเริ่มร่นออก รวมทั้งมีเลือดออกตามขอบเหงือกขณะแปรงฟัน ไม่ควรละเลยเพราะอาการเหล่านี้คือสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าเหงื่อกำลังมีปัญหานั่นเอง สาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดอาการเลือดออกขณะแปรงฟันก็ คือการทำความสะอาดฟันไม่ทั่วถึง ทำให้เกิดคราบพักหรือแบคทีเรียสะสม จนอาจทำให้เหงือกเกิดการอักเสบบวมแดงได้ รวมทั้งสาเหตุอื่นๆเช่นร่างกายขาดวิตามินซี จึงทำให้มีอาการเลือดออกตามไรฟัน ซึ่งอาการเหล่านี้หากปล่อยไว้นานเกินไปแล้วไม่ได้รับการรักษาอาจจะลุกลามไป ถึงขั้นมีหนองไหลออกจากร่องเหงือก ฟันโยกหรืออาจสูญเสียฟันได้


เพราะฉะนั้น หากเราดูแลรักสาสุขภาพเหงือกและฟันให้ดีก็จะช่วยป้องกันการเกิดโรคเหงือกอักเสบได้ วิธีที่ง่ายที่สุดคือแปรงฟันให้สะอาดเพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมบริเวณภายในช่องปาก แปรงฟันเบาๆด้วยแปรงสีฟันที่มีขนแปรงอ่อนนุ่ม เพื่อกระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยงบริเวณเหงือกที่อักเสบอยู่ และควรทำความสะอาดแนวเหงือกและลิ้นเพื่อลมหายใจที่หอมสดชื่น ลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียบริเวณลิ้นด้วย ต่อมาคือหมั่นทำความสะอาดฟันด้วยไหมขัดฟันหรืออุปกรณ์อื่นๆ สำหรับซอกฟันที่สามารถทำความสะอาดได้ยาก ก็ควรใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วย เพราะจะช่วยขจัดเศษอาหารและคราบพลัคในจุดที่แปรงสีฟันเข้าไปไม่ถึงนั่นเอง รวมไปถึงการขุดหินปูนเนื่องจากการแปรงฟันสามารถขจัดคราบจุลินทรีย์ได้เพียงบางส่วน อาจทำให้เหงือกมีหินปูนซึ่งจะส่งผลกระทบต่อสุขภาพช่องปากได้


อย่างไรก็ตาม เราควรตรวจสุขภาพฟันเป็นประจำ นอกจากจะคอยสังเกตอาการของสุขภาพช่องปากของตัวเองเป็นประจำอยู่แล้ว ควรมันเข้าพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนหรือปีละ 2 ครั้ง เพื่อขุดหินปูนตรวจสุขภาพช่องปากและฟันรวมทั้งขอคำแนะนำในการดูแลสุขภาพในช่องปากด้วย และที่สำคัญการเลือกใช้ยาสีฟันที่ช่วยขจัดคราบพลัคก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถทำได้และควรเลือกใช้ยาสีฟันแปรงสีฟันที่เหมาะสมกับเรา ซึ่งในปัจจุบันยาสีฟันไม่ได้มีคุณสมบัติแค่ป้องกันฟันผุเท่านั้น แต่ยังสามารถดูแลไปถึงสุขภาพเหงือกได้ด้วย การดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันที่เป็นเรื่องที่สำคัญและเราจะต้องดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาระยะยาว


ทั้งนี้หากคุณต้องการเข้ารับการตรวจฟันหรือรักษาอาการฟันผุต่างๆ รวมไปถึงแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน สามารถขอเข้ารับคำแนะนำจากทีมทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีคณะแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันจึงมั่นใจได้ว่าหากคุณเข้ารับการปรึกษาจากทางคลินิก แล้วจะทำให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรงสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่และมีบุคลิกภาพที่มั่นใจได้อย่างแน่นอน

12
ดอกบัวอบแห้ง: วิธีทำดอกไม้แห้งแบบง่าย ๆ โดยที่ยังสวยเหมือนเดิม

วิธีทำดอกไม้แห้งแบบง่ายๆ ช่วยให้เราเก็บดอกไม้สวย ๆ ที่มักได้มาในโอกาสพิเศษไว้ และนำมาตกแต่งเพิ่มความน่ารักในมุมต่าง ๆ ได้นาน หรือใช้เป็นของขวัญที่สามารถมอบให้คนสำคัญได้ด้วย
ทำดอกไม้แห้ง รักษารูปทรงดอกไม้ วิธีทำดอกไม้แห้งแบบง่ายๆ

คงน่าเสียดายไม่น้อยเลยที่จะทิ้งดอกไม้สวย ๆ เหล่านั้นลงถังไปแบบไม่ทำอะไรเลย เรามีวิธีหยุดเวลา โดยคงความสวยงามของดอกไม้ที่มาพร้อมกับความประทับใจเหล่านั้นให้สามารถอยู่ได้นานขึ้น ด้วยการชวนทุกคนมารู้จัก วิธีทำดอกไม้แห้งแบบง่ายๆ สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ขั้นตอนไม่เยอะ แถมยังช่วยยังรักษารูปทรงของดอกไม้ช่อพิเศษเหล่านั้นไว้ให้ได้นำไปตกแต่งมุมต่างๆ ของบ้าน หรือประดิษฐ์เป็นของขวัญให้คนพิเศษก็ได้

1. ตากดอกไม้ แบบคว่ำหัวลง

วิธีทำดอกไม้แห้งแบบง่ายๆ ให้ยังคงฟอร์มและรูปทรงที่สวยงาม ด้วยการนำเชือกไปมัดกับก้านของดอกไม้ แล้วแขวนกลับหัวลง พยายามหาห้องที่มีอากาศถ่ายเทได้อย่างสะดวก เพราะห้องที่มีอากาศถ่ายเทนั้น จะช่วยป้องกันการเกิดเชื้อราที่กลีบของดอกได้ ปล่อยน้องคว่ำทิ้งไว้อย่างนั้นเป็นเวลาประมาณ 2 – 3 สัปดาห์ ดอกไม้ที่เคยสดก็จะแห้งสนิท และก้านของดอกก็จะตั้งตรง ไม่หักงอ วิธีนี้เป็นวิธีการเก็บดอกไม้ที่ได้มา และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเก็บความทรงจำของเราได้อย่างดีเลย หรือใครจะใช้วิธีนี้ทำให้แห้ง แล้วนำไปมอบให้คนพิเศษก็ได้เช่นกัน

Tips : วิธีการเก็บดอกไม้วิธีนี้ เหมาะกับดอกไม้ที่มีกลีบหนา และค่อนข้างทน แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับดอกไม้ประเภทกลีบบาง ช้ำง่าย เพราะในช่วงที่ปล่อยเวลาให้ดอกไม้แห้งนั้น กลีบบาง ๆ จะมีความเหี่ยวย่น ยับ ยู่ หรืออาจจะร่วงได้ระหว่างตากลมได้

2. ทำดอกไม้แห้งด้วยการแช่สารดูดความชื้น

สารดูดความชื้น หรือ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ซิลิก้าเจล นั่นก็คือสารที่ใส่ถุงเล็ก ๆ ที่ติดมากับห่อขนม , กล่องรองเท้า , กระเป๋า หรือ ผลิตภัณฑ์ที่ต้องการความแห้ง หากต้องการใช้จำนวนมาก สามารถหาซื้อซิลิก้าเจลได้ตามร้านขายเคมีทั่วไป ข้อดีของซิลิก้าเจลคือ สามารถใช้งานซ้ำได้เรื่อย ๆ จนกว่าจะหมดอายุ หรือ เสื่อมประสิทธิภาพไป แต่กว่าจะถึงวันที่ใช้งานไม่ได้ ก็กินเวลานานพอสมควรเลย วิธีการทำดอกไม้แห้งจากซิลิก้าเจลนั้นทำได้โดยเริ่มจากนำสารดูดความชื้น หรือ ซิลิก้าเจล ใส่ในภาชนะทรงสูง จากนั้นตั้งดอกไม้ให้ตรง และอยู่ในทรงที่เราต้องการ แล้วเทสารดูดความชื้น หรือ ซิลิก้าเจล ให้สูงเพียงพอที่จะกลบดอกไม้จนมิด ปิดฝาภาชนะไว้ให้ดอกไม้อยู่กับซิลิก้าเจลต่อไปอีกประมาณ 3 – 7 วัน เพียงเท่านี้ ก็จะได้ดอกไม้แห้งแบบสมบูรณ์ ที่ไม่มีความชื้นหลงเหลืออยู่ หรือถ้าอยากจะเก็บเฉพาะตัวดอก ก็สามารถตัดก้านออก แล้วใส่ในภาชนะที่ไม่ต้องสูงมาก แค่พอสำหรับแช่ดอกไม้ในสารดูดความชื้นก็ได้เช่นกัน

3. ทำดอกไม้แห้งจากไมโครเวฟและสารดูดความชื้น

วิธีการทำดอกไม้แห้งวิธีนี้ เหมาะสำหรับใครที่ต้องการใช้ดอกไม้แห้งแบบรอรับได้เลย ไม่ต้องใช้เวลารอนาน ๆ เป็นอาทิตย์ เพียงแค่หาภาชนะที่สามารถเข้าไมโครเวฟได้ จากนั้นเทสารดูดความชื้นลงไป วางดอกไม้ที่ตัดก้านแล้ว ให้เหลือความยาวประมาณ 2 นิ้วก็พอ แล้วนำเข้าไมโครเวฟประมาณ 1 – 2 นาที เพียงเท่านี้ก็จะได้ดอกไม้แห้งแบบรวดเร็ว ทันใจ แต่ภาชนะที่ใส่ก็ไม่ควรนำมาใช้ใส่อาหารต่อนะคะ เพื่อความปลอดภัยของร่างกายของเรา

4. ทำดอกไม้แห้งด้วยวิธีทับในหนังสือ

วิธีนี้เป็นวิธีโบราณยอดฮิตสมัยเด็ก ๆ เลย โดยเลือกดอกไม้ที่อยากเก็บไว้ แล้วตัดก้านออก จากนั้นก็จัดฟอร์มให้สวย แล้ววางในกระดาษทิชชู่ หรือกระดาษที่ผิวแห้ง ไม่มีความเงามัน แล้วก็นำไปสอดไว้ในหนังสือเล่มหนาอีกครั้ง หรืออาจจะใช้กล่อง หรือ แผ่นไม้หนัก ๆ วางทับลงอีกทีก็ได้ ทิ้งไว้ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็จะได้ดอกไม้แห้งที่บางเรียบ ฟอร์มคงตัวแบบที่จัดไว้แล้ว บางคนก็นำไปใส่กรอบรูป หรือจะเคลือบเป็นที่คั่นหนังสือก็น่ารักดี มอบให้คนสำคัญในโอกาสพิเศษได้เลย

13
มอเตอร์โชว์ 2025: มิตซูบิชินำ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี, เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี และเทคโนโลยี

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและส่งเสริมความยั่งยืนด้านยานยนต์ ณ งานแสดงพลังงานและเทคโนโลยีที่ยั่งยืน (Sustainable Energy Technology Asia 2024: SETA 2024) มุ่งนำเสนอนวัตกรรมและโซลูชันที่สำคัญต่อการสร้างสรรค์พลังงานอัจฉริยะอันนำไปสู่การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคอนาคต
 

มร. โนโบรุ สึจิ (ที่ 4 จากซ้าย) ประธานคณะกรรมการ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ มร. ชิน คุโบะ (ที่ 3 จากซ้าย) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร ถ่ายภาพร่วมกับ ดร. ณอคุณ สิทธิพงศ์ (ที่ 5 จากซ้าย) ประธานที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, ฯพณฯ โอตากะ มาซาโตะ (กลาง) เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งญี่ปุ่น ประจำราชอาณาจักรไทย, ศ.ดร.พิสุทธิ์ เพียรมนกุล (ที่ 5 จากขวา) ประธานการจัดงาน SETA 2024, มร. ซุรุดะ มาซาโนริ (ที่ 4 จากขวา) Deputy Commissioner for International Affairs, Agency for Natural Resources and Energy (ANRE) กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรมแห่งประเทศญี่ปุ่น (METI), ดร. ชนะ ภูมี (ที่ 3 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่-การบริหารความยั่งยืน เอสซีจี. ศ.ทัตสึยะ เทราซาวา (ที่ 2 จากขวา) ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สถาบันเศรษฐกิจพลังงานแห่งประเทศญี่ปุ่น (IEEJ) และ ดร.นาโอมิ ฮิโรเสะ (ขวาสุด) รองประธานองค์การพลังงานโลก (WEC)
 
 
ด้วยแนวคิดในการสร้างสรรค์สังคมคาร์บอนต่ำ และสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอาเซียน มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย จึงได้ผนวกเทคโนโลยีด้านพลังงานเข้ากับเทคโนโลยีการขับเคลื่อน สะท้อนออกมาเป็น ที่สุดแห่งดีเอ็นเอของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส (Mitsubishi Motors-ness) เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่แตกต่างอย่างเหนือระดับ ทั้งในด้านความสะดวกสบาย สมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม เทคโนโลยีความปลอดภัยอันล้ำสมัย และความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านยนตรกรรมรุ่นล่าสุด มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก พร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รุ่นแรกในไทย ที่มอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เต็มเปี่ยมด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วย Mitsubishi e:MOTION ที่ผสานระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด ซึ่งพัฒนามาจากระบบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) อันทรงพลังและประหยัดน้ำมันดีเยี่ยม ทั้งยังมีโหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ให้ความปลอดภัย ลุยได้ในทุกสภาพถนน และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจสูงสุดขณะเข้าโค้ง
 
ในงานนี้ มร. คาซูอะคิ อิวาโมโตะ เจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส คอร์ปอเรชั่น ยังได้แสดงปาฐกถาในหัวข้อ แนวคิดริเริ่มของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนด้วยการใช้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Mitsubishi Motors’ Initiative Toward Carbon Neutrality Utilizing BEV and PHEV) ณ เวที Mobility Forum ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานยานยนต์อนาคตของเอเชีย (Sustainable Mobility Asia: SMA 2024)
 
นอกจากนี้ ภายในงาน SETA 2024 และ Sustain Asia Week 2024 มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ยังได้รับ รางวัลยานยนต์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยอดเยี่ยม (Best Green Mobility Award) โดยมี มร. ชิน คุโบะ (ขวา) กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานกลยุทธ์องค์กร มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย รับมอบรางวัลจาก ดร. สราวุธ แก้วตาทิพย์ อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน

14
ลงประกาศฟรี / วีโว่ vivo V29e (12GB/256GB)
« เมื่อ: วันที่ 13 พฤศจิกายน 2024, 20:17:03 น. »
วีโว่ vivo V29e (12GB/256GB)
11,999 บาท 

วีโว่ vivo V29e (12GB/256GB)
ดีไซน์สวย เพรียวบางไม่เหมือนใคร
ดีไซน์สวย ประทับใจเมื่อได้สัมผัส
เบาดุจขนนก บางเฉียบ
คุณภาพระดับพรีเมียม ที่ดึงดูดทุกสายตา

รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น              วีโว่ vivo V29e (12GB/256GB)
   ราคากลาง          11,999 บาท
   จำนวนซิม          2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์         จอสัมผัส
   สี                   Black(Forest Black), Blue(Ice Creek Blue)

   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                   ยาว 162.35 x กว้าง 74.85 x หนา 7.69 มม., น้ำหนัก 190 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)   256 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด     -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ        ความจุแบตเตอรี่ 4,800 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ             จอสัมผัส (AMOLED)
   ความละเอียด      6.67 นิ้ว, 394 ppi, 1,080 x 2,400 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                   กล้องหลัง (64 Mpx), กล้องหน้า (50 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                               -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)            Qualcomm Snapdragon 695
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   หน่วยความจำ (RAM)              8.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก              USB
   ระบบรับส่งข้อความ                  -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต           3G, WiFi, 4G, 5G

15
เทมเป้ อาหารสุขภาพและวิธีรับประทานให้ได้ประโยชน์

เทมเป้ (Tempeh) เป็นอาหารที่เริ่มรับความนิยมในกลุ่มคนที่รักสุขภาพ ทำจากการนำถั่วเหลืองไปต้มและหมักกับเชื้อราที่ช่วยย่อยโปรตีนในถั่ว จนเกิดเป็นเส้นใยสีขาวยึดเกาะเมล็ดถั่วเข้าด้วยกันเป็นก้อน โดยเทมเป้เป็นแหล่งของโปรตีนที่สามารถใช้แทนเนื้อสัตว์ในเมนูต่าง ๆ จึงเหมาะกับคนที่รับประทานอาหารมังสวิรัติและอาหารเจ

เทมเป้ที่วางขายทั่วไปจะมีลักษณะเป็นก้อนสี่เหลี่ยมคล้ายเต้าหู้ที่อัดแน่นไปด้วยถั่ว แต่มีเนื้อสัมผัสหนึบกว่าซึ่งสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลาย บทความนี้จะชวนทุกคนมาทำความรู้จักประโยชน์ของการรับประทานเทมเป้ และวิธีรับประทานให้ดีต่อสุขภาพไปด้วยกัน


ประโยชน์ของเทมเป้

เทมเป้อุดมไปด้วยสารอาหารหลายชนิด และมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านต่าง ๆ ดังนี้


อุดมไปด้วยโปรตีน

ปริมาณโปรตีนที่แนะนำให้ผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิงบริโภคต่อวันคือ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม สำหรับผู้ที่รับประทานมังสวิรัติควรได้รับโปรตีนจากถั่วเหลืองในสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อทดแทนการได้รับโปรตีนไม่เพียงพอจากการไม่รับประทานเนื้อสัตว์

เทมเป้ให้โปรตีนสูงกว่าอาหารที่ทำจากถั่วชนิดอื่น เช่น เต้าหู้ปริมาณ 84 กรัม ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม ขณะที่เทมเป้ที่มีปริมาณเท่ากันให้โปรตีนสูงถึง 15 กรัม จึงเหมาะสำหรับผู้รับประทานมังสวิรัติ และผู้ที่ออกกำลังกายเพราะการรับประทานโปรตีนอย่างเพียงพอจะช่วยเสริมมวลกล้ามเนื้อที่เสียไปจากการออกกำลังกาย

นอกจากนี้ เทมเป้ที่ทำจากถั่วเหลืองยังมีกรดอะมิโนจำเป็น (Essential Amino Acids) ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นได้เอง และจะได้รับจากการรับประทานอาหารที่มีโปรตีนอย่างเพียงพอเท่านั้น ซึ่งอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองจะให้ครบทั้ง 9 ชนิด ต่างจากธัญพืชอื่น ๆ ที่อาจให้กรดอะมิโนจำเป็นได้ไม่ครบ


ดีต่อหัวใจและช่วยควบคุมน้ำหนัก

เทมเป้ 1 ถ้วยหรือ 166 กรัมประกอบด้วยไขมัน 18 กรัม โดยไขมันส่วนใหญ่ในเทมเป้จะเป็นไขมันไม่อิ่มตัว ทั้งไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวและเชิงซ้อน ซึ่งเป็นไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อันมีส่วนช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

นอกจากนี้ เทมเป้ 1 ถ้วยประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรตเพียง 13 กรัม และมีโปรตีนสูงที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องและยับยั้งความรู้สึกอยากอาหาร ซึ่งอาจเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก


เป็นแหล่งของวิตามินและแร่ธาตุ

นอกจากโปรตีนแล้ว การรับประทานเทมเป้ยังให้สารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่

    วิตามินบี เช่น ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) หรือวิตามินบี 2 ที่มีส่วนช่วยในการสร้างพลังงาน การมองเห็นและบำรุงผิวพรรณ ไนอะซิน (Niacin) หรือวิตามินบี 3 ที่ช่วยเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน เสริมการทำงานของสมอง ระบบย่อยอาหาร และผิวพรรณ และวิตามินบี 12 ที่ช่วยมีบทบาทในการสร้างเม็ดเลือดแดง ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์และนม จึงเป็นทางเลือกของคนที่รับประทานมังสวิรัติ
    แคลเซียม เทมเป้ 1 ถ้วย หรือ 166 กรัมประกอบด้วยโปรตีนประมาณ 2 ใน 3 ของนมวัวปริมาณ 244 มิลลิตร จึงเป็นแหล่งของแคลเซียมที่เหมาะกับคนที่ไม่ดื่มนมวัว
    แร่ธาตุต่าง ๆ เช่น สังกะสี ทองแดง ธาตุเหล็ก แมงกานีส และฟอสฟอรัส ซึ่งมีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย


มีส่วนประกอบของสารไอโซฟลาโวน (Isoflavones)

เทมเป้ประกอบด้วยสารไอโซฟลาโวน ซึ่งพบมากในถั่วเหลืองและอาหารที่ทำจากถั่วเหลือง โดยไอโซฟลาโวนมีส่วนช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอลโดยรวม คอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) ในเลือด ซึ่งไขมันชนิดไม่ดีเหล่านี้อาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ไอโซฟลาโวนจัดเป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนจากพืช (Phytoestrogen) อาจช่วยบรรเทาอาการร้อนวูบวาบในหญิงวัยหมดประจำเดือนที่มีระดับฮอร์โมนในร่างกายแปรปรวน นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ ชะลอความเสื่อมของเซลล์จากอนุมูลอิสระ และอาจช่วยยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านมและมะเร็งต่อมลูกหมาก
เสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร

การรับประทานถั่วและธัญพืชบางชนิดอาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะอาหารและมีอาการท้องอืด แต่การรับประทานเทมเป้มักไม่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ จึงอาจเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร เช่น โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome)

เทมเป้ได้จากการหมักถั่วกับเชื้อรา จึงมีโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ช่วยเสริมสร้างการทำงานของระบบทางเดินอาหาร และมีพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ซึ่งเป็นใยอาหารชนิดหนึ่งและเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของโพรไบโอติกส์ โดยเทมเป้ 85 กรัมมีใยอาหารสูงถึง 7 กรัม จึงมีส่วนช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ
เทมเป้รับประทานอย่างไร

เทมเป้จะมีทั้งแบบที่ใช้ถั่วเหลืองอย่างเดียว หรือผสมถั่วและธัญพืชอื่น ๆ สามารถหาซื้อได้ทั่วไปตามห้างสรรพสินค้าหรือร้านขายอาหารเพื่อสุขภาพ มีทั้งรูปแบบกล่อง กระป๋อง เป็นผลิตภัณฑ์แช่แข็ง หรือเลือกทำเทมเป้รับประทานเองที่บ้านก็ได้ เพียงใช้ถั่วหมักกับกล้าเชื้อที่เป็นผงสำหรับหมักเทมเป้สำเร็จรูป หมักไว้ประมาณ 3–4 วัน ก็สามารถนำมารับประทานได้

เทมเป้สามารถนำมาประกอบอาหารแทนเนื้อสัตว์ได้หลายเมนู เช่น นำมาหั่นเป็นชิ้นหมักซอสและย่างแทนสเต็ก นำมาสับแทนเนื้อสัตว์ในสปาเกตตี้และแฮมเบอร์เกอร์ หรือใช้ผัดกะเพรา ยำ และจิ้มน้ำพริก

เทมเป้ที่ยังไม่เปิดรับประทาน สามารถเก็บได้นาน 1 เดือนในตู้เย็นช่องธรรมดา และเก็บได้นานถึง 1 ปีในช่องแช่แข็ง แต่หากเปิดแล้วควรเก็บในถุงหรือกล่องที่ปิดมิดชิด ซึ่งจะเก็บได้ประมาณ 5 วัน


ข้อควรระวังในการรับประทานเทมเป้

คนทั่วไปสามารถรับประทานเทมเป้ได้อย่างปลอดภัยและไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ แต่คนที่มีภาวะสุขภาพบางอย่าง ไม่ควรรับประทานเทมเป้ เช่น

    แพ้ถั่วเหลือง เนื่องจากเทมเป้มีส่วนประกอบหลักคือ ถั่วเหลือง การรับประทานเทมเป้อาจทำให้คนที่แพ้ถั่วเหลืองมีอาการคัน เกิดผื่นลมพิษ ใบหน้าและลำคอบวม หายใจลำบาก หายใจมีเสียงหวีด ปวดท้อง ท้องร่วง คลื่นไส้ อาเจียน และบางคนอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
    ภาวะผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์ เพราะเทมเป้มีสารกอยโทรเจน (Goitrogens) ที่อาจยับยั้งการสังเคราะห์ไทรอยด์ฮอร์โมน และลดประสิทธิภาพการดูดซึมยารักษาไทรอยด์

เทมเป้เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และสารอาหารอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงจัดเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่คนทั่วไปรับประทานได้ และเป็นทางเลือกสำหรับคนที่ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ แต่คนที่มีภาวะผิดปกติเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์หรือแพ้อาหาร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเทมเป้และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองเสมอ เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพ

หน้า: [1] 2 3 ... 16