head prakardsod




































































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 40
1
บริการทำความสะอาด: วิธีทำความสะอาดบ้านใหม่ก่อนเข้าอยู่ มีขั้นตอนอะไรบ้าง?

การทำความสะอาด บ้านใหม่ ก่อนเข้าอยู่อาศัยเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้คุณได้เริ่มต้นชีวิตในบ้านด้วยความรู้สึกสดชื่น ปลอดภัย และถูกสุขอนามัย เพราะบ้านใหม่อาจมีฝุ่นละอองจากการก่อสร้าง หรือหากเป็นบ้านมือสองก็อาจมีสิ่งสกปรกและเชื้อโรคสะสมอยู่

นี่คือขั้นตอนการทำความสะอาดอย่างละเอียดที่แนะนำให้ทำก่อนขนย้ายข้าวของเข้าบ้าน:


1. การเตรียมการและวางแผนเบื้องต้น

ก่อนเริ่มลงมือทำความสะอาด ควรเตรียมความพร้อมให้ดี เพื่อประหยัดเวลาและแรงงาน

วางแผนการทำความสะอาด: กำหนดลำดับการทำความสะอาด จากบนลงล่าง และ จากห้องในสุดออกมาห้องนอกสุด/หน้าบ้าน (เช่น เริ่มจากชั้น 2 ลงมาที่ชั้น 1 หรือเริ่มจากเพดานลงมาที่พื้น)

เตรียมอุปกรณ์: รวบรวมอุปกรณ์ที่จำเป็น เช่น เครื่องดูดฝุ่น (ที่มีหัวดูดหลายรูปแบบ), ไม้กวาด, ไม้ม็อบ, ผ้าไมโครไฟเบอร์, น้ำยาทำความสะอาดอเนกประสงค์, น้ำยาฆ่าเชื้อ, น้ำยาเช็ดกระจก, ถุงมือ, และหน้ากากอนามัย (โดยเฉพาะบ้านใหม่ที่มีฝุ่นก่อสร้าง)

เปิดรับอากาศ: เปิดประตู หน้าต่างทั้งหมด เพื่อให้อากาศถ่ายเทได้สะดวกและช่วยระบายกลิ่นอับหรือกลิ่นสารเคมี


2. ทำความสะอาดโครงสร้างและพื้นผิวที่เข้าถึงยาก (จากบนลงล่าง)

ขั้นตอนนี้จะเน้นการกำจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกขนาดใหญ่ที่สะสมตามโครงสร้างของบ้านก่อน

ส่วนที่ต้องทำความสะอาด                              วิธีการทำความสะอาด
เพดาน/มุมห้อง            ใช้ไม้ปัดฝุ่นด้ามยาว หรือหัวดูดของเครื่องดูดฝุ่นกำจัดหยากไย่และฝุ่นละอองที่ติดอยู่ตามมุมและเพดาน
พัดลมเพดาน/โคมไฟ   เช็ดทำความสะอาดใบพัด โคมไฟ และฝาครอบหลอดไฟทั้งหมด
ช่องแอร์/ช่องระบายอากาศ   ถอดฝาครอบออกมาทำความสะอาด หรือใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดฝุ่นที่สะสมในช่องระบายอากาศ (รวมถึงแผ่นกรองอากาศ)
หน้าต่าง/มุ้งลวด/วงกบ   ล้างมุ้งลวด และ ทำความสะอาดกระจก ทั้งด้านในและด้านนอก เช็ดร่องหน้าต่าง และวงกบที่มักมีฝุ่น เศษผง หรือคราบกาวจากการก่อสร้างสะสมอยู่
ผนัง                            ใช้ผ้าไมโครไฟเบอร์ชุบน้ำสบู่อ่อน ๆ เช็ดผนังเพื่อกำจัดฝุ่นและคราบต่าง ๆ (ทดสอบมุมเล็ก ๆ ก่อน)
ประตู/ลูกบิด/สวิตช์ไฟ   เช็ดทำความสะอาดประตูและ ฆ่าเชื้อ ลูกบิด/มือจับประตู และสวิตช์ไฟ/ปลั๊กไฟทุกจุด
บัวเชิงผนัง (Baseboards)   ใช้ผ้าชุบน้ำหมาด ๆ เช็ดทำความสะอาดบัวเชิงผนังทั้งหมดเพื่อเก็บฝุ่นในขั้นตอนสุดท้ายของผนัง


3. ทำความสะอาดห้องที่ต้องฆ่าเชื้อเป็นพิเศษ

A. ห้องครัว (Kitchen)

ครัวเป็นส่วนสำคัญที่ต้องเน้นความสะอาดเพื่อสุขอนามัย

ตู้/ลิ้นชัก: เช็ดด้านในและด้านนอก ของตู้และลิ้นชักทั้งหมดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ/ทำความสะอาดที่ปลอดภัย ก่อนจัดเก็บข้าวของ

เคาน์เตอร์/ซิงค์: ทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ เคาน์เตอร์ อ่างล้างจาน และก๊อกน้ำทั้งหมด หากเป็นหินอ่อน/หินแกรนิต ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่มีค่า pH เป็นกลาง

เครื่องใช้ไฟฟ้า (ถ้ามี): ทำความสะอาดภายในและภายนอก ตู้เย็น เตาอบ เตาแก๊ส/ไฟฟ้า และเครื่องดูดควัน เพื่อกำจัดคราบไขมันและสิ่งสกปรกที่อาจหลงเหลืออยู่

ทำความสะอาดหลัง/ใต้ตู้เย็น/เตา: หากสามารถเคลื่อนย้ายได้ ให้ทำความสะอาดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ด้านหลังและใต้เครื่องใช้ไฟฟ้า


B. ห้องน้ำ (Bathroom)

เน้นการฆ่าเชื้อโรคเพื่อความปลอดภัย

สุขภัณฑ์: ขัดและฆ่าเชื้อ ชักโครก อ่างล้างหน้า อ่างอาบน้ำ และฝักบัวทั้งหมด

ก๊อกน้ำ/ฝักบัว: ขัดคราบสบู่และคราบตะกรันน้ำ โดยเฉพาะตามหัวก๊อกและฝักบัว

กระเบื้อง/ยาแนว: ใช้แปรงขัดทำความสะอาด ร่องยาแนว บนพื้นและผนัง เพื่อขจัดคราบราดำหรือคราบฝังลึก

ตู้เก็บของ/กระจก: เช็ดทำความสะอาดภายในตู้เก็บของ และขัดกระจกให้เงางาม


4. ทำความสะอาดพื้น (ขั้นตอนสุดท้าย)

กวาด/ดูดฝุ่น: ใช้เครื่องดูดฝุ่น ดูดฝุ่นผง เศษวัสดุ และสิ่งสกปรกทั้งหมดออกจากพื้นให้หมดจด

ทำความสะอาดตามประเภทพื้น:

พื้นกระเบื้อง/หิน: ถูพื้นด้วยน้ำยาถูพื้น และขจัดคราบฝังแน่นที่อาจเป็นคราบปูนหรือคราบสี

พื้นไม้/ลามิเนต: ใช้ผ้าหรือม็อบที่บิดหมาดที่สุด เพื่อป้องกันความชื้นเข้าทำลายพื้นผิว (ห้ามใช้น้ำมากเกินไป)

ดูดฝุ่นพรม (ถ้ามี): หากมีพรมปูพื้น ควร ดูดฝุ่นซ้ำ อย่างละเอียด หรือพิจารณาใช้บริการซักพรมแบบลึก (Deep Cleaning) ก่อนจัดวางเฟอร์นิเจอร์


5. ข้อควรทำเพิ่มเติมเพื่อความเรียบร้อย

ตรวจสอบความเสียหาย: ในขณะทำความสะอาด ให้ตรวจสอบร่องรอยความเสียหายเล็กน้อย เช่น รอยขีดข่วนบนผนัง รอยแตกของกระเบื้อง หรือระบบไฟ/น้ำที่ผิดปกติ เพื่อแจ้งซ่อมแซมให้เรียบร้อยก่อนย้ายเข้า

ทำความสะอาดภายนอก: กวาดและทำความสะอาดระเบียง ทางเดินหน้าบ้าน และโรงรถ

เปลี่ยนกุญแจ: เพื่อความปลอดภัย ควร เปลี่ยนกุญแจ ประตูบ้านทั้งหมดก่อนเข้าอยู่

การทำความสะอาดตามลำดับ บนลงล่าง และ ห้องต่อห้อง จะช่วยให้บ้านของคุณสะอาดหมดจดและพร้อมสำหรับการย้ายเข้าอยู่ได้อย่างสบายใจที่สุดค่ะ

2
ลงประกาศฟรี / หมอประจำบ้าน: ตับแข็ง (Cirrhosis)
« เมื่อ: วันที่ 7 ตุลาคม 2025, 14:35:14 น. »
หมอประจำบ้าน: ตับแข็ง (Cirrhosis)

ตับแข็ง เป็นโรคตับเรื้อรังที่เซลล์ตับจำนวนมากถูกทำลายอย่างถาวร จนกลายเป็นเยื่อพังผืด (fibrotic tissue) ที่มีลักษณะแข็งกว่าปกติ ตับไม่อาจทำหน้าที่ได้เป็นปกติ ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนเอสโทรเจนที่ร่างกายสร้างตามธรรมชาติ (เป็นเหตุทำให้มีอาการฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม นมโตและอัณฑะฝ่อในผู้ชาย) การคั่งของสารบิลิรูบิน (ทำให้ดีซ่าน) การสังเคราะห์สารที่ช่วยห้ามเลือดได้น้อยลง (มีภาวะเลือดออกง่าย) มีภาวะความดันในหลอดเลือดดำของตับสูง (ทำให้ท้องมาน หรือมีน้ำคั่งในช่องท้อง หลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร ริดสีดวงทวาร) ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงของระบบต่าง ๆ (เช่น ระบบการย่อยและการเผาผลาญอาหาร การแข็งตัวของเลือด การกำจัดยา สารพิษและสารต่างๆ ระบบภูมิคุ้มกันโรค เป็นต้น) 

อาการแรกเริ่มมักเกิดในช่วงอายุระหว่าง 40-60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อยอาจเกิดจากโรคตับอักเสบจากไวรัสชนิดรุนแรง จากการใช้ยาผิด หรือสารเคมีบางชนิด


สาเหตุ

เซลล์ตับถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ 

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีและซี จนกลายเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง
    การดื่มแอลกอฮอล์จัดติดต่อกันเป็นเวลานาน (เป็นแรมปี) ยิ่งดื่มมากยิ่งเสี่ยงมาก และผู้หญิงที่ดื่มสุรามีความเสี่ยงที่จะเป็นตับแข็งมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากร่างกายมีการเผาผลาญแอลกอฮอล์แตกต่างกันระหว่างชายกับหญิง ทำให้ผู้หญิงรับพิษจากแอลกอฮอล์มากกว่าผู้ชาย

นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver)* การใช้ยาเกินขนาด (เช่น พาราเซตามอล เตตราไซคลีน ไอเอ็นเอช ไรแฟมพิซิน เมโทเทรกเซต AZT) ภาวะขาดอาหาร หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคต่าง ๆ (เช่น ทาลัสซีเมีย ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ภาวะทางเดินน้ำดีอุดกั้น หรือท่อน้ำดีตีบตัน ตับอักเสบเรื้อรังจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง) หรือจากพิษของสารเคมีบางชนิด (เช่น คลอโรฟอร์ม คาร์บอนเตตราคลอไรด์ สารโลหะหนัก)

*พบในผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะไขมันในเลือดสูง กลุ่มอาการเมตาบอลิก** คนอ้วน ผู้ที่ขาดอาหาร ดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือใช้ยาสเตียรอยด์นาน ๆ

**กลุ่มอาการเมตาบอลิก (metabolic syndrome หรือเดิมเรียกว่า syndrome X) ประกอบด้วย ภาวะเสี่ยงอย่างน้อย 3 ข้อ จาก 5 ข้อต่อไปนี้

1. ความดันโลหิตช่วงบน ≥ 130 มม.ปรอท และ/หรือความดันโลหิตช่วงล่าง ≥ 85 มม.ปรอท หรือกินยารักษาความดันโลหิตสูงอยู่

2. ระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหาร 8 ชั่วโมง (FPG) ≥ 100 มก./ดล.

3. เส้นรอบเอว ≥ 90 ซม. ในผู้ชาย หรือ ≥ 80 ซม. ในผู้หญิง

4. ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ≥ 150 มก./ดล.

5. ระดับเอชดีแอลคอเลสเตอรอลในเลือด < 40 มก./ดล. ในผู้ชาย หรือ < 50 มก./ดล. ในผู้หญิง

กลุ่มอาการเมตาบอลิก พบได้มากขึ้นตามอายุ (อายุมากกว่า 60 ปี อาจพบมากถึงร้อยละ 40) และพบในผู้ที่มีน้ำหนักตัวมาก (ดัชนีมวลกาย ≥ 25 กก./ตร.ม. พบได้ประมาณร้อยละ 20 ≥ 30 กก./ตร.ม. พบได้มากกว่าร้อยละ 50)

ผู้ที่มีกลุ่มอาการเมตาบอลิกมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด และภาวะไขมันสะสมในตับ (fatty liver) ซึ่งอาจกลายเป็นตับอักเสบที่เรียกว่า “Non-aloholic steatohepatitis/NASH” ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นตับแข็งและมะเร็งตับได้

การรักษา ปรับพฤติกรรมแบบเดียวกับโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ ความดันโลหิตสูง ถ้าจำเป็นอาจต้องให้ยาควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่พบ

อาการ

ระยะแรกเริ่ม อาจไม่มีอาการผิดปกติชัดเจน หรือมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อคล้ายอาหารไม่ย่อย ต่อมาเป็นแรมปีอาจเริ่มรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียนเป็นบางครั้ง น้ำหนักลด เท้าบวม

อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย ตาเหลือง คันตามผิวหนัง ความรู้สึกทางเพศลดลง

บางรายอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง

ในผู้หญิงอาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือมีเสียงแหบห้าวคล้ายผู้ชาย

ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ (gynecomastia) อัณฑะฝ่อตัว หรือมีภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือองคชาตไม่แข็งตัว (erectile dysfunction/ED)

ในระยะท้ายของโรค (หลังเป็นอยู่หลายปี หรือยังดื่มแอลกอฮอล์จัด) จะมีอาการท้องมาน เท้าบวมหลอดเลือดขอดที่ขา หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง อาจอาเจียนเป็นเลือดสด ๆ เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งอาจถึงช็อกและตายได้

ผู้ป่วยมักจะลงเอยด้วยอาการซึม เพ้อ มือสั่น และค่อย ๆ ไม่รู้สึกตัว จนกระทั่งหมดสติ


ภาวะแทรกซ้อน

เกิดภาวะขาดอาหาร น้ำหนักลด ผอมแห้ง เป็นตะคริวง่าย กระดูกพรุนและหักง่าย ภูมิคุ้มกันโรคลดลงทำให้เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม วัณโรค เยื่อบุช่องท้องอักเสบ)

ถ้าเป็นเรื้อรัง จะมีภาวะเลือดออกง่ายและหยุดยาก เนื่องเพราะตับไม่สามารถสร้างปัจจัยการแข็งตัวของเลือด (clotting factors) ทำให้กระบวนการแข็งตัวของเลือดบกพร่อง

ที่ร้ายแรง จะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด เนื่องจากหลอดเลือดขอดที่หลอดอาหาร (esophageal varices) แล้วแตก ซึ่งบางรายอาจรุนแรงถึงช็อกและตายได้

ในผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งระยะรุนแรง อาจมีภาวะไตวายแทรกซ้อน

ในระยะสุดท้ายเมื่อตับทำงานไม่ได้ (ตับวาย) ก็จะเกิดอาการทางสมอง (hepatic encephalopathy) ในที่สุดมีอาการหมดสติ เรียกว่า ภาวะหมดสติจากตับวาย (hepatic coma)

นอกจากนี้ยังพบว่ามีโอกาสเป็นมะเร็งเซลล์ตับสูงกว่าคนปกติ


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งมีสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ฝ่ามือแดง มีจุดแดงรูปแมงมุมที่หน้าอก หน้าท้อง จมูก ต้นแขน เท้าบวม ท้องบวม

อาจมีอาการตาเหลืองเล็กน้อยหรือไม่มีก็ได้

อาจมีไข้ต่ำ ๆ ต่อมน้ำลายข้างหู (parotid gland) โตคล้ายคางทูม หรือมีอาการขนร่วง

ในผู้ชายอาจพบอาการนมโตและเจ็บ

อาจคลำตับได้ มีลักษณะค่อนข้างแข็ง ผิวเรียบ

ถ้าเป็นมาก จะพบว่ารูปร่างผอมแห้ง ซีด ท้องโตมาก หลอดเลือดพองที่หน้าท้อง มือสั่น ม้ามโต นิ้วปุ้ม มีจุดแดงจ้ำเขียวตามผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด (ทดสอบการทำงานของตับและหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบีและซี) อัลตราซาวนด์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ สแกนตับ


บางรายแพทย์อาจทำการตรวจวัดปริมาณพังผืดในตับ (ด้วยเทคนิคที่เรียกว่า “Transient elastography” โดยการใช้เครื่องอัลตราซาวนด์พิเศษ–“Fibroscan”) หรือทำการตรวจชิ้นเนื้อตับ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. ถ้าเป็นตับแข็งในระยะแรกเริ่ม แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

    ให้การรักษาตามอาการ และบำรุงร่างกายด้วยอาหาร และวิตามินเกลือแร่เพื่อป้องกันและแก้ไขภาวะขาดสารอาหาร (เช่น ถ้ามีภาวะซีดจากการขาดธาตุเหล็ก ก็ให้ยาเม็ดบำรุงโลหิต)
    ข้อสำคัญผู้ป่วยที่ดื่มแอลกอฮอล์ต้องงดดื่มโดยเด็ดขาด และหลีกเลี่ยงหรือระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมีผลกระทบต่อตับ 
    ถ้าพบสาเหตุของตับแข็ง ก็ให้บำบัดแก้ไข เช่น ถ้าเกิดจากการดื่มสุราจัด ก็จะทำการบำบัดให้เลิกสุรา ถ้าเกิดจากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ก็จะให้ยาต้านไวรัส
    ป้องกันการติดเชื้อด้วยการฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบ ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน (มีน้ำในท้อง) ก็ให้ยาขับปัสสาวะ งดอาหารเค็ม จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม
    ทำการตรวจกรองมะเร็งตับระยะแรกด้วยการตรวจเลือด (รวมทั้งดูระดับของสารแอลฟาฟีโตโปรตีนในเลือด) และการตรวจอัลตราซาวนด์ ทุก 6 เดือน

2. ถ้ามีโรคติดเชื้อ (เช่น ไข้หวัดใหญ่ ปอดอักเสบ) อาการซึม เพ้อ ไม่ค่อยรู้ตัว ไตวาย อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ แพทย์จะรับตัวไว้ในโรงพยาบาล แพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส (ถ้ามีโรคติดเชื้อแบคทีเรีย/ไวรัส) ให้เลือด (ถ้าเสียเลือด) ล้างไต (ถ้ามีภาวะไตวาย) และรักษาภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ที่ตรวจพบ

ผู้ป่วยอาจต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ จนในที่สุดมักจะเสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เช่น ตกเลือด ภาวะตับวาย โรคติดเชื้อ เป็นต้น

3. แพทย์อาจพิจารณาทำการปลูกถ่ายตับในผู้ป่วยตับแข็งบางราย ซึ่งช่วยให้สามารถมีชีวิตยืนยาว


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาเหลืองตัวเหลือง อ่อนเพลีย ปวดเสียดใต้ชายโครงขวา หรือพบฝ่ามือแดง จุดแดงรูปแมงมุม เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นตับแข็ง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

1. ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

    ห้ามดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันมิให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ถูกทำลายมากขึ้น หากเป็นโรคตับแข็งในระยะแรกเริ่ม ก็จะช่วยให้มีชีวิตอยู่ได้ยาวนาน
    กินอาหารพวกแป้งและของหวาน ผัก ผลไม้สด และอาหารพวกโปรตีนเป็นประจำ ยกเว้นในระยะท้ายของโรค ที่เริ่มมีอาการทางสมองร่วมด้วย จำเป็นต้องลดอาหารพวกโปรตีนลงเหลือวันละ 30 กรัม เพราะอาจสลายตัวเป็นสารแอมโมเนียที่มีผลต่อสมอง
    ถ้ามีอาการบวมหรือท้องมาน ควรงดอาหารเค็ม และห้ามดื่มน้ำเกินวันละ 2 ขวดกลมหรือ 6 ถ้วย (1‚500 มล.)
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสมุนไพรด้วยตัวเอง เพราะอาจมีพิษต่อตับมากขึ้น ถ้าจะใช้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อน
    รักษาร่างกายให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายตามที่ร่างกายจะอำนวย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ หาทางผ่อนคลายความเครียด ไม่สูบบุหรี่ สร้างสุขนิสัยในการป้องกันโรคติดเชื้อทางเดินหายใจและทางเดินอาหาร (เช่น สวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าไปในที่ ๆ มีคนแออัด หรือมีการระบาดของไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์ เป็นต้น)

2. ติดต่อรักษากับแพทย์ตามนัด อาจต้องตรวจเลือดและอื่น ๆ เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของโรคเป็นระยะ ๆ

3. ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

    ถ้ามีอาการไข้ ปวดท้องมาก ซึมมาก เพ้อ อ่อนเพลียมาก กินไม่ได้ อาเจียนเป็นเลือด หรือมีเลือดออกตรงส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย หรือมีอาการที่ชวนให้รู้สึกวิตกกังวล
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

1. หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากหรือติดต่อกันนาน ๆ และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคตับอักเสบจากไวรัสบี ตั้งแต่แรกเกิด

3. ระมัดระวังในการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ

4. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดตับแข็ง


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ถ้าเป็นระยะแรกเริ่ม และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม จะสามารถมีชีวิตได้นานเกิน 5-10 ปีขึ้นไป แต่ถ้าปล่อยให้มีภาวะแทรกซ้อนชัดเจน เช่น ดีซ่าน ท้องมาน อาเจียนเป็นเลือด ก็อาจอยู่ได้ 2-5 ปี (ประมาณ 1 ใน 3 อาจอยู่ได้เกิน 5 ปี)

2. ผู้ป่วยตับแข็งที่ตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรตรวจเลือดหาสารแอลฟาฟีโตโปรตีน (alphafetoprotein) ทุก 3-6 เดือน เพื่อตรวจกรองหาโรคมะเร็งตับระยะแรกเริ่ม เพราะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งชนิดนี้สูง

3
การเลือกของขวัญที่ได้ลุ้นแบบสุด ๆ กับกล่องสุ่มฟิกเกอร์

การเลือก กล่องสุ่มฟิกเกอร์ เป็นของขวัญที่ได้ลุ้นแบบสุด ๆ เป็นไอเดียที่น่าสนุกและตื่นเต้นมากเลยค่ะ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเพื่อนร่วมงานที่ชอบสะสมฟิกเกอร์, ชอบตัวการ์ตูน, หรือเป็นคนที่สนุกกับการเซอร์ไพรส์และชอบความท้าทายเล็ก ๆ น้อย ๆ ลองมาดูเคล็ดลับในการเลือกกล่องสุ่มฟิกเกอร์ให้โดนใจผู้รับกันค่ะ

1. รู้จัก "แนว" ของผู้รับ

สิ่งสำคัญที่สุดคือการพยายามเดาแนวความชอบของผู้รับค่ะ ถึงแม้จะเป็นกล่องสุ่ม แต่ก็ควรสุ่มในหมวดหมู่ที่เขาน่าจะสนใจ

ชอบตัวการ์ตูน/อนิเมะ:

แนวไหน: การ์ตูนญี่ปุ่น (อนิเมะ/มังงะ), การ์ตูนฝั่งตะวันตก (Disney, Pixar, Marvel, DC), เกม

ตัวละครที่ชอบ: มีตัวละครโปรดเป็นพิเศษไหม? (เช่น ชอบ Sanrio, One Piece, Marvel Heroes)

ชอบสะสมฟิกเกอร์/โมเดลอยู่แล้ว:

ประเภทที่สะสม: Pop Mart, Art Toy, Gashapon (กาชาปอง), Nendoroid, Figma, Bandai (กันดั้ม/วันพีช)

ขนาดที่ชอบ: เล็กจิ๋ว (สำหรับวางโต๊ะทำงาน), ขนาดกลาง (ตั้งโชว์), หรือขนาดใหญ่ (เป็นของสะสมหลัก)

เป็นคนชอบของน่ารัก/ของเก๋ๆ:

ไม่เน้นการ์ตูน: อาจเลือกกล่องสุ่ม Art Toy ที่เน้นดีไซน์แปลกใหม่ น่ารัก หรือมีสไตล์เฉพาะตัว


2. เลือกแบรนด์/ซีรีส์ที่นิยมและเข้าถึงง่าย

สำหรับของขวัญให้เพื่อนร่วมงานที่ไม่ได้เป็นนักสะสมขั้นสุด การเลือกแบรนด์ที่คนทั่วไปรู้จักหรือเข้าถึงได้ง่ายจะดีกว่าค่ะ

Pop Mart: เป็นที่นิยมอย่างมากในปัจจุบัน มีคอลเลกชันหลากหลาย ตัวละครน่ารัก ดีไซน์เก๋ไก๋ มีหลายซีรีส์ให้เลือกตามความชอบ (เช่น Molly, Dimoo, SKULLPANDA, Labubu) และราคาอยู่ในช่วงที่เหมาะสมกับการเป็นของขวัญจับฉลาก

Gashapon (กาชาปอง): ฟิกเกอร์ขนาดเล็ก น่ารัก ราคาไม่แพง หาซื้อง่าย มีหลากหลายธีม ทั้งการ์ตูน สัตว์ สิ่งของ

Small Blind Box (กล่องสุ่มขนาดเล็ก): แบรนด์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ Pop Mart ที่มีฟิกเกอร์ขนาดเล็กน่ารักๆ เหมาะสำหรับตั้งโชว์บนโต๊ะทำงาน

LEGO Minifigures (กล่องสุ่มตัวละคร LEGO): สำหรับคนชอบ LEGO เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ


3. พิจารณางบประมาณ

กล่องสุ่มฟิกเกอร์มีราคาหลากหลาย ตั้งแต่หลักสิบ (กาชาปอง) ไปจนถึงหลักร้อยปลายๆ หรือพันต้นๆ (Pop Mart, Art Toy)

งบ 500 บาท:

Pop Mart: สามารถซื้อได้ 1 กล่องสุ่มพอดี หรืออาจจะบวกเพิ่มอีกนิดหน่อย ขึ้นอยู่กับซีรีส์

กาชาปอง: สามารถซื้อได้หลายอัน หรือซื้อแบบเป็นเซ็ตที่คัดมาแล้ว

Blind Box แบรนด์อื่นๆ: มีตัวเลือกมากมายในเรทราคานี้

งบที่ต่ำกว่า 500 บาท: กาชาปอง หรือ Blind Box ขนาดเล็กก็เป็นตัวเลือกที่ดี


4. ดูรายละเอียดของซีรีส์/คอลเลกชัน

แม้จะเป็นกล่องสุ่ม แต่เราก็ยังสามารถเลือกซีรีส์ได้!

ธีม: ซีรีส์นั้นเป็นธีมเกี่ยวกับอะไร? (เช่น ธีมธรรมชาติ, ธีมเทศกาล, ธีมอาชีพ, ธีมสัตว์) เลือกธีมที่น่าจะเหมาะกับบุคลิกของเพื่อนร่วมงาน

ความน่ารัก/ดีไซน์: ฟิกเกอร์ในซีรีส์นั้นมีดีไซน์โดยรวมเป็นอย่างไร? น่ารักไหม? มีตัวที่เราคิดว่าเพื่อนร่วมงานน่าจะชอบอย่างน้อย 1-2 ตัวไหม?

มี Secret Figure ไหม: หลายซีรีส์จะมี "ตัวลับ" ที่หายาก การรู้ว่ามีตัวลับก็เพิ่มความตื่นเต้นในการลุ้นได้อีก


5. สถานที่ซื้อ

ร้านขายของเล่น/ฟิกเกอร์โดยเฉพาะ: เช่น K-Doll, Pop Mart Shop, ร้านนำเข้า

ห้างสรรพสินค้า: บางห้างมีโซน Pop Mart หรือร้านขายของเล่น

ร้านสะดวกซื้อ/ซูเปอร์มาร์เก็ต: มีกาชาปอง หรือ Blind Box ขนาดเล็ก

ร้านค้าออนไลน์: เว็บไซต์ e-commerce ทั่วไป หรือเพจขายฟิกเกอร์


6. เพิ่มความพิเศษ

ห่อของขวัญให้ดูน่าตื่นเต้น: ใช้กระดาษห่อที่ดูสนุกสนาน หรือกล่องที่น่าสนใจ

แนบการ์ดอวยพร: เขียนข้อความสั้นๆ ว่า "ขอให้โชคดีกับการสุ่มนะ! หวังว่าจะได้ตัวที่ถูกใจ/ตัวลับนะ!" เพื่อเพิ่มความสนุกในการแกะ

การให้กล่องสุ่มฟิกเกอร์เป็นของขวัญเป็นการมอบความสุขที่มาพร้อมกับความตื่นเต้นและการได้ลุ้นค่ะ เป็นของขวัญที่แสดงถึงความเข้าใจในความสนุกเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตได้อย่างดีเยี่ยม!

4
ลงประกาศฟรี / หมอออนไลน์: โรคเกาต์ (Gout)
« เมื่อ: วันที่ 3 ตุลาคม 2025, 13:00:29 น. »
หมอออนไลน์: โรคเกาต์ (Gout)

โรคเกาต์ เป็นโรคปวดข้อเรื้อรังชนิดหนึ่งที่พบได้ประมาณ 2-4 คนใน 1,000 คน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 9-10 เท่า ส่วนมากจะพบในผู้ชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป ส่วนผู้หญิงพบได้น้อย ถ้าพบมักจะเป็นหลังวัยหมดประจำเดือน

สาเหตุ

ส่วนมากมีสาเหตุจากร่างกายสร้างกรดยูริก* มากเกินไป เนื่องจากความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ จึงมักพบมีพ่อแม่ญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุจากร่างกายมีการสลายตัวของเซลล์มากเกินไป (เช่น โรคธาลัสซีเมีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว การใช้ยารักษามะเร็งหรือฉายรังสี เป็นต้น) อาจเกิดจากไตขับกรดยูริกได้น้อยลง (เช่น ภาวะไตวาย ตะกั่วเป็นพิษ)

ความอ้วน/ภาวะน้ำหนักเกิน การดื่มแอลกอฮอล์ (โดยเฉพาะเบียร์) การกินอาหารที่ให้กรดยูริกสูง การได้รับบาดเจ็บที่ข้อกระดูก การใช้ยา เช่น ไทอาไซด์ แอสไพริน ไซโคลสปอริน (cyclosporin) เลโวโดพา (levodopa) ยาลดความดันกลุ่มต้านเอซ (ACE inhibitors เช่น อีนาลาพริล) และกลุ่มเออาร์บี (ARB เช่น วาลซาร์แทน) อาจกระตุ้นให้อาการกำเริบได้

นอกจากนี้ โรคนี้อาจพบร่วมกับโรคเรื้อรัง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดผิดปกติ กลุ่มอาการเมตาบอลิก ไตวาย เป็นต้น

*กรดยูริก เป็นสารชนิดหนึ่งที่เป็นผลมาจากการเผาผลาญสารเพียวรีน (purine ซึ่งมีมากในเครื่องในสัตว์ สัตว์ปีก เนื้อแดง อาหารทะเล ยีสต์ พืชผักหน่ออ่อนหรือยอดอ่อน) และการสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย จึงเป็นสิ่งที่พบได้เป็นปกติในเลือดของคนเรา และจะถูกขับออกทางไต แต่ถ้าหากว่าร่างกายมีการสร้างกรดยูริกมากเกินไป หรือไตขับกรดยูริกได้น้อยลง ก็จะทำให้มีกรดยูริกคั่งอยู่ในร่างกายมากผิดปกติ ซึ่งจะตกผนึกสะสมอยู่ตามข้อ ผิวหนัง ไตและอวัยวะอื่น ๆ ทำให้เกิดอาการไม่สบายต่าง ๆ

อาการ

มีอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที ถ้าเป็นการปวดครั้งแรกมักจะเป็นเพียงข้อเดียว ข้อที่พบมาก ได้แก่ นิ้วหัวแม่เท้า (ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจพบในผู้ป่วยบางราย) ข้อจะบวมและเจ็บมากจนเดินไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง ร้อนและแดง และจะพบลักษณะจำเพาะ คือ ขณะที่อาการเริ่มทุเลา ผิวหนังในบริเวณที่ปวดนั้นจะลอกและคัน

ผู้ป่วยมักเริ่มมีอาการปวดตอนกลางคืน และมักจะเป็นหลังดื่มแอลกอฮอล์ (ทำให้ไตขับกรดยูริกได้น้อยลง) หรือหลังกินเลี้ยง หรือกินอาหารมากผิดปกติ หรือเดินสะดุด บางครั้งอาจมีอาการขณะมีภาวะเครียดทางจิตใจ เป็นโรคติดเชื้อ หรือได้รับการผ่าตัดด้วยสาเหตุอื่น

บางครั้งอาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร

ในการปวดข้อครั้งแรก มักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน แม้จะไม่ได้รับการรักษาก็จะค่อย ๆ หายไปได้เอง

ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา ในระยะแรก ๆ อาจกำเริบทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ต่อมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อย ๆ เช่น ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนกระทั่งทุกเดือน หรือเดือนละหลายครั้ง และระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกลายเป็น 7-14 วัน จนกระทั่งหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เช่น ข้อมือ ข้อศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า) จนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อ

ในระยะหลัง เมื่อข้ออักเสบหลายข้อ ผู้ป่วยมักสังเกตว่ามีปุ่มก้อนขึ้นที่บริเวณที่เคยอักเสบบ่อย ๆ เช่น ข้อนิ้วเท้า ข้อนิ้วมือ ข้อศอก ข้อเข่า รวมทั้งที่หู เรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus/tophi) ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของสารยูริก ปุ่มก้อนนี้จะโตขึ้นเรื่อย ๆ จนบางครั้งแตกออกมีสารขาว ๆ คล้ายชอล์กหรือยาสีฟันไหลออกมา กลายเป็นแผลเรื้อรัง หายช้า ในที่สุดข้อต่าง ๆ จะค่อย ๆ พิการและใช้งานไม่ได้


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจทำให้เกิดภาวะข้อพิการ นิ่วในทางเดินปัสสาวะ (พบได้ประมาณร้อยละ 25) ซึ่งอาจทำให้มีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะแทรกซ้อนตามมาได้

นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ป่วยโรคเกาต์มักมีโอกาสเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง และภาวะหลอดเลือดแดงแข็งมากกว่าคนปกติ (สันนิษฐานว่าอาจมีความผิดปกติทางกรรมพันธุ์ของโรคเหล่านี้ร่วมกับโรคเกาต์) และถ้าหากไม่ได้ควบคุมโรคเหล่านี้ ในที่สุดก็อาจกลายเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ โรคในหลอดเลือดสมองตีบและไตวายได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย ซึ่งจะตรวจพบข้อที่ปวดมีลักษณะบวมแดงร้อน อาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายอาจมีตุ่มโทฟัส

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้ชัดเจนโดยการเจาะเลือดหาระดับของกรดยูริกในเลือด (ค่าปกติเท่ากับ 3-7 มก./ดล.) ถ้าผลการตรวจไม่ชัดเจน อาจต้องทำการเจาะดูดน้ำจากข้อที่อักเสบไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าเป็นเกาต์จะพบผลึกของยูเรต นอกจากนี้อาจต้องตรวจพิเศษอื่น ๆ ถ้าจำเป็น

การรักษาโดยแพทย์

ในรายที่มีอาการข้ออักเสบ แพทย์จะให้ยาลดข้ออักเสบ เช่น ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ หรือคอลชิซีน ถ้าไม่ได้ผลอาจให้สเตียรอยด์

ในรายที่เป็นเกาต์เรื้อรัง แพทย์จะให้คอลชิซีนกินเป็นประจำ เพื่อป้องกันมิให้ข้ออักเสบกำเริบ

ที่สำคัญ ผู้ป่วยจำเป็นต้องกินยาลดกรดยูริก* เป็นประจำ เพื่อควบคุมระดับกรดยูริกในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ซึ่งมักจะให้เมื่ออาการข้ออักเสบทุเลาแล้ว ยาลดกรดยูริกมีให้เลือกใช้อยู่ 2 ชนิด ได้แก่

    ยาลดการสร้างกรดยูริก เช่น ยาเม็ดอัลโลพูรินอล (allopurinol) ซึ่งแพทย์นิยมใช้ยาชนิดนี้เป็นอันดับแรก ยานี้อาจทำให้เกิดการแพ้รุนแรงได้ (ถ้ากินแล้วมีอาการผื่นคัน หรือพุพองตามตัว ควรหยุดยาทันที) และอาจทำให้ตับอักเสบได้
    ยาขับกรดยูริก เช่น ยาเม็ดโพรเบเนซิด (probenecid) ซึ่งแพทย์จะใช้เมื่อใช้อัลโลพูรินอลไม่ได้ ผู้ป่วยที่กินยานี้ ควรดื่มน้ำประมาณวันละ 3 ลิตร เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วไต เนื่องจากการตกตะกอนของกรดยูริก ยานี้ห้ามใช้ในผู้ที่มีนิ่วไตหรือภาวะไตวาย

แพทย์จะให้ผู้ป่วยกินยาลดกรดยูริกเป็นประจำทุกวันไปจนตลอดชีวิต จะช่วยให้สารยูริกที่สะสมตามข้อและอวัยวะต่าง ๆ ละลายหายไปได้ รวมทั้งตุ่มโทฟัสจะยุบหายไปในที่สุด ผู้ป่วยที่ใช้ยาลดกรดยูริกก็ไม่จำเป็นต้องงดอาหารประเภทเนื้อสัตว์และเครื่องในสัตว์อย่างเคร่งครัด สามารถกินอาหารได้ทุกชนิดในปริมาณที่พอเหมาะกับขนาดของยาที่ใช้

ผู้ป่วยจำเป็นต้องไปรับการตรวจหาระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ ๆ แม้ว่าจะไม่มีอาการผิดปกติแล้วก็ตาม ทั้งนี้เพื่อติดตามดูว่าระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่

ผลการรักษา ถ้าได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์และรู้จักดูแลตนเองอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จะสามารถควบคุมโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อน มีคุณภาพชีวิตที่ดีและอายุยืนยาวได้ แต่ถ้าปล่อยปละละเลยหรือไม่ปฏิบัติตัวตามที่แพทย์แนะนำ ก็มักมีภาวะแทรกซ้อนตามมาในที่สุด มีความยุ่งยากในการดูแลรักษา สูญเสียคุณภาพชีวิต และอาจเสียชีวิตก่อนวัยอันควร

ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย

    ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 3 ลิตร เพื่อป้องกันนิ่วไต
    ถ้าอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ อาจทำให้มีการสลายตัวของเซลล์รวดเร็ว และมีการสร้างกรดยูริก ทำให้ข้ออักเสบกำเริบได้
    ควรงดแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์
    ควรระวังอย่าให้ข้อกระดูกได้รับบาดเจ็บ
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่อาจทำให้โรคกำเริบ เช่น แอสไพริน ไทอาไซด์
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ให้กรดยูริกสูง เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่ปลา ปลาซาร์ดีน ปลาแฮริง หอย กะปิ น้ำสกัดเนื้อ น้ำต้มกระดูก อาหารที่ใส่ยีสต์ (ขนมปัง เบียร์) ชะอม กระถิน ยอดแค ดอกสะเดา สาหร่าย ยอดผัก เป็นต้น

ส่วนอาหารที่ให้กรดยูริกปานกลาง ซึ่งผู้ป่วยควรกินได้ พอประมาณอย่าซ้ำบ่อย เช่น เป็ด ไก่ ปลา เนื้อสัตว์ ถั่ว เห็ด ปลาหมึก ปู หน่อไม้ ดอกกะหล่ำ ผักขม ผักปวยเล้ง สะตอ

อาหารที่ให้ยูริกต่ำซึ่งผู้ป่วยกินได้ไม่จำกัด เช่น ธัญพืช ผลไม้ทุกชนิด ผัก (ที่ไม่ใช่ยอดอ่อน) หัวกะหล่ำ ไข่ เต้าหู้ นมพร่องไขมัน โยเกิร์ต เนย ข้าว แป้ง ข้าวโพด ข้าวโอ๊ต ช็อกโกแลต ชา กาแฟ

ผู้ป่วยควรสังเกตว่า อาหารประเภทใดกินแล้วสามารถควบคุมกรดยูริกในเลือดได้ดี ก็ให้เลือกกินอาหารประเภทเหล่านั้น อาหารประเภทใดทำให้โรคกำเริบก็ควรหลีกเลี่ยง

*ควรรอให้ข้อหายอักเสบก่อน จึงเริ่มให้ยาลดกรดยูริก (หรือปรับเพิ่มขนาดในรายที่เคยได้รับยานี้อยู่ก่อนแล้ว) เนื่องเพราะการลดหรือเพิ่มกรดยูริกในเลือดทันทีจะกระตุ้นให้ข้ออักเสบมากขึ้นหรือนานขึ้นได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อ ข้ออักเสบบวมแดงร้อน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเกาต์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา ตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ (ดู "ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย")


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    กินยาแล้วไม่ทุเลา หรือมีไข้ หรือข้ออักเสบกำเริบ
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ (เช่น มีประวัติโรคเกาต์ในครอบครัว) หรือเคยมีอาการของโรคนี้กำเริบมาก่อน ควรป้องกันไม่ให้โรคกำเริบโดยการปฏิบัติตัวตาม "ข้อควรปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย (โรคเกาต์)"


ข้อแนะนำ

1. โรคนี้แม้จะเป็นเรื้อรัง แต่หากได้รับการรักษาอย่างจริงจัง ก็มักจะป้องกันมิให้เกิดภาวะแทรกซ้อนและสามารถมีชีวิตปกติสุขได้ ควรแนะนำให้ผู้ป่วยรับการรักษาอย่าได้ขาด ดังนั้น จึงควรกินยาตามแพทย์สั่งไปตลอดชีวิต และหมั่นตรวจเลือดเป็นระยะ ๆ

2. เนื่องจากยาอัลโลพูลินอลมีโอกาสทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการแพ้รุนแรง คือ กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสันได้ ถ้าจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยกินยานี้เป็นประจำ แพทย์อาจทำการตรวจเลือดดูว่าผู้ป่วยมีพันธุกรรม (ยีนที่มีชื่อว่า HLA-B*5801) ที่จะทำให้เกิดการแพ้ยานี้หรือไม่ ถ้ามีก็จะหลีกเลี่ยงไม่ใช้ยานี้

3. ในรายที่มีเพียงกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการปวดข้อหรืออาการอื่น ๆ ก็ไม่ต้องให้ยารักษา ยกเว้นถ้ามีระดับของกรดยูริกสูงเกิน 12 มก./ดล. ก็ควรกินยาลดกรดยูริกเป็นประจำ

4. ผู้ที่มีญาติพี่น้องเป็นโรคเกาต์ ควรตรวจระดับกรดยูริกในเลือดเป็นระยะ

5. อาการข้ออักเสบเฉียบพลันแบบโรคเกาต์ ตรวจพบระดับยูริกในเลือดปกติ ควรเจาะดูดน้ำจากข้อไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ ถ้าพบผลึกของยูเรตก็วินิจฉัยว่าเป็นเกาต์ แต่ถ้าพบว่าเป็นผลึกของแคลเซียมไพโรฟอสเฟต (calcium pyrophosphate) ก็เป็นภาวะเรียกว่า เกาต์เทียม (pseudogout)*

* เกาต์เทียม (pseudogout/calcium pyrophosphate dihydrate crystal deposition disease) เป็นโรคข้ออักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากการสะสมของผลึกแคลเซียมไพโรฟอสเฟตตามข้อใหญ่ ๆ เช่น ข้อเข่า ข้อมือ ข้อเท้า เป็นต้น ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ส่วนน้อยอาจพบร่วมกับภาวะอื่น ๆ เช่น ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานเกิน (hyperparathyroidism) ภาวะมีเหล็กสะสมตามเนื้อเยื่อ (hemochromatosis) ภาวะแมกนีเซียมในเลือดต่ำ (hypomagnesemia) เบาหวาน เป็นต้น มักมีอาการไข้ ปวดข้อ ข้ออักเสบเฉียบพลันกำเริบเป็นครั้งคราวคล้ายโรคเกาต์ บางรายอาจมีอาการปวดข้อและข้อแข็งเรื้อรังคล้ายโรคปวดข้อรูมาตอยด์ โรคนี้ส่วนใหญ่จะทุเลาได้โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่บางรายอาจเกิดการทำลายข้อจนข้อพิการได้

การรักษา ให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ขณะที่มีอาการกำเริบเฉียบพลัน และอาจให้คอลชิซีน วันละ 1 เม็ด เพื่อป้องกันไม่ให้อาการกำเริบ บางครั้งอาจต้องทำการดูดระบายน้ำจากข้อ และฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อเพื่อลดการอักเสบ หรือทำกายภาพบำบัด ถ้าพบภาวะอื่นร่วมด้วยก็ให้การรักษาควบคู่กันไป

5
การจัดฟันเด็ก ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง
 
ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันสำหรับเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองมักคิดว่า ฟันน้ำนมไม่สำคัญ เพราะเดี๋ยวก็มีฟันแท้ขึ้นมาแทน ซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิด เพราะฟันน้ำนมของเด็กนั้น มีบทบาทสำคัญมาก ต่อลักษณะการขึ้นของฟันแท้ ซึ่งถ้าหากไม่ดูแลรักษาฟันตั้งแต่ยังเป็นฟันน้ำนม อาจจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมาได้ในอนาคต ในปัจจุบันวงการทันตกรรมมีการพัฒนาไปมาก จึงมีนวัตกรรมใหม่ที่เรียกว่า การจัดฟันในเด็ก ซึ่งเด็กในวัยประถมก็สามารถเข้ารับการจัดฟันได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงวัยรุ่น เพราะในหลายปัญหาอาจสามารถหลีกเลี่ยง หรือลดความรุนแรงได้ หากได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ

นอกจากนี้ ในวัยรุ่นบางคนที่มีปัญหาเรื่องขนาดขากรรไกร และทันตแพทย์จัดฟันอาจไม่แนะนำ ให้เสี่ยงจัดฟันในตอนนี้ เนื่องจากอาจทำให้ความผิดปกติยิ่งแย่ลงไปอีก แต่จะให้รอดูอาการก่อน แต่การเข้ารับการจัดฟัน ได้รับความนิยมมากในวัยรุ่น เพราะนอกจากจะเป้นเทรนยอดฮิตแล้ว ยังสามารถแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณี ซึ่งการจัดฟันก็มีด้วยกันหลากหลายรูปแบบ

ซึ่งแต่ละรูปแบบนั้น ก็จะมีความแตกต่างกันออกไป และมีผลการรักษาที่ไม่เหมือนกันด้วย ดังนั้น หากจะเข้ารับการจัดฟันในเด็ก พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องพาบุตรหลานเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟัน ทันตแพทย์ก็จะพิจารณาปัญหาและใช้รูปแบบการจัดฟันในเหมาะสมกับปัญหาเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด ในการเข้ารับการจัดฟัน หลายคนที่อยากจะจัดฟัน อาจจมีความกังวลว่า การจัดฟันนั้น จะส่งผลต่อชีวิตประจำวันหรือไม่ แน่นอนว่า การจัดฟันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ในแต่ละรูปแบบก็จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันออกไป
 
สำหรับวันนี้เราจะมาพูดถึงการจัดฟันในเด็ก ว่าส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้เตรียมรับมือและปรับตัวระหว่าการเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ในการจัดฟันในเด็กนั้น ทันตแพทย์จัดฟันอาจพิจารณาให้ใช้เครื่องมือแบบถอดเข้าออกได้ หรืออาจจะใช้เครื่องมือแบบติดแน่นมัดด้วยยางที่มีสีสันต่างๆ แบบที่เราเห็นกันทั่วไป โดยการใช้เครื่องมือแบบถอดเข้าออกได้ มีข้อเสียที่สำคัญคือ มันต้องอาศัยความร่วมมือของเด็ก


หากเด็กไม่ยอมสวมใส่เครื่องมือตามทีทันตแพทย์แนะนำ ก็จะทำให้การรักษาก็จะไม่ประสบความสำเร็จ ดังนั้นในเด็กบางคน ทันตแพทย์จึงใช้เครื่องมือแบบติดแน่นแทน ดังนั้น ตัวเครื่องมือการจัดฟันในเด็กแบบติดแน่นนั้น จึงส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการรับประทานอาหาร และการทำความสะอาดของช่องปากและฟัน เพราะการที่เด็กมีเครื่องใอการจัดฟันอยู่ภายในปาก ทำให้เด้กรับประทานอาหารได้ลำบากมากขึ้น

อาจจะทำให้เด็กเกิดอาการเบื่ออาหาร หรือแม้กระทั่งการดูแลรักษาความสะอาดของช่องปากและฟัน ก็ทำได้ยากยิ่งขึ้น เพราะเด็กบางคนอาจจะยังไม่เข้าใจในการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธี ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองคงรที่จะแนะนำสอนเด็กให้ทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันกานรเกิดฟันผุ และอีกเรื่องหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันก็คือ เด็กอาจจะต้องระมัดระวังในการเล่นกิจกรรมที่ต้องมีการปะทะเช่น เล่นบาสเกตบอล เล่นฟุตบอล หรือกิจกรรมอื่นๆที่เสี่ยงที่จำทำให้เด็กเกิดอุบัติเหตุได้


ดังนั้น ก็ต้อระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจจะทำให้เด้ได้รับอันตรายได้ แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการจัดฟันในเด็กอาจจะส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของเด็กบ้างในบางเรื่อง แต่ผลลัพธ์ของการจัดฟันในเด็ก ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะจะทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี มีฟันที่สวยงามเป็นธรรมาชาติได้ ช่วยเสริมสร้างบุคลิกภาพให้มีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น

6
รถรับจ้างทั่วไปจังหวัดนครราชสีมา รับจ้างขนของทุกชนิด ราคาถูก ต่อรองได้ กระบะ 6ล้อ

บริการของรถรับจ้างทั่วไปในนครราชสีมา 24 ชม.

งานบริการ รถรับจ้างทั่วไปจังหวัดนครราชสีมา ที่การขนย้ายที่สามารถขนของอะไรก็ได้ ไม่จำกัด และรถรับจ้างก็มีหลายประเภท ลูกค้าจึงสามารถกำหนดได้อย่างสะดวก เรามีความครอบคลุมการบริการที่คุณมาหาที่นี่ที่เดียวแล้วจบ เพราะเรามีทั้ง รถรับจ้างขนของนครราชสีมา และ พนักงานยกของ เพื่อยกสินค้าให้กับคุณ ไม่ว่าจะเป็น ใช้ รถกระบะรับจ้างทั่วไปนครราชสีมา ที่จะ ย้ายหอ ย้ายเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายเครื่องจักรโคราช ย้ายแค้มป์งานก่อสร้าง แต่ถ้าเป็น รถหกล้อรับจ้างทั่วไปนครราชสีมา ก็จะเป็นงาน รับจ้างย้ายบ้านโคราช ขนย้ายต้นไม้ ขนของวัสดุก่อสร้าง ขนย้ายเฟอร์จิเจอร์ เป็นต้น ถ้า รถ10ล้อรับจ้างโคราช ขนย้ายสินค้าการเกษตร ขนย้ายไซต์งานก่อสร้าง นอกจากนี้ก็มี รถเฮี๊ยบรับจ้างโคราช รถเทรลเลอร์รับจ้างโคราช ซึ่งบริการหลักๆของเรา จะมีประมาณนี้

   
บริการ รถกระบะรับจ้างนครราชสีมา และคนยกของ :

รถรับจ้างนครราชสีมา ให้บริการ รถกระบะรับจ้างจังหวัดนครราชสีมา ขนของ และ คนยกของที่พร้อมจะขนย้ายด้วยลักษณะงานทั่วไป โดยที่เราจะมีบริการให้อย่างดีที่สุด ย้ายบ้าน ย้ายคอนโด ย้ายห้องพัก ย้ายที่อยู่ ขนส่งเราก็พร้อม ที่สำคัญ คนยกของๆเรามีประสบการณ์เป็นอย่างดีในการ รับจ้างขนของในโคราช มาก เชื่อใจและปลอดภัยแน่นอน ทั้งการยกของเช่น ตู้เย็น เตียง และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ตู้เสื้อผ้า มอเตอร์ไซค์ อุปกรณ์การผลิต และ ยกวัสดุก่อสร้าง รถกระบะรับจ้างนครราชสีมา ของเราพร้อมบริการคุณทุกคน

   
ขนของแค้มป์งานก่อสร้างโคราช :

สำหรับผู้ที่ทำงานในโครงการก่อสร้าง รถรับจ้างทั่วไปโคราช มีบริการขนย้ายแค้มป์งานก่อสร้าง ทั้งการขนย้ายบ้านพักคนงาน ซึ่งสินค้าที่จะย้ายนั้นมีจำนวนมาก น้ำหนักเยอะ เเละต้องใช้เวลานานในการขนย้ายเพราะมีทั้ง อุปกรณ์การก่อสร้าง และเครื่องมือที่จำเป็น ทำให้การเคลื่อนย้ายจากไซต์งานหนึ่งไปยังอีกไซต์งานหนึ่งเป็นเรื่องง่ายเมื่อใช้บริการของขนส่ง

   
รถรับจ้างขนย้ายสินค้านครราชสีมา :

การที่ รถรับจ้างขนย้ายสินค้านครราชสีมา มีการเรียกใช้บริการที่บ่อยเป็นเพราะ โคราชเป็นเมืองอุตสาหกรรม และโรงงานเยอะมาก จึงทำให้มีกิจการค้าขายมาก และต้องการย้ายร้านมากเช่นเดียวกัน เราจึงมี ทั้ง รถกระบะรับจ้างขนของโคราช รถ6ล้อรับจ้างโคราช รถ10ล้อรับจ้างโคราช รถขนของโคราช ที่คอย support ให้กับคุณอยู่ตลอดเวลา จากที่หนึ่งไปยังอีกที่ หรือจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคเป็นสิ่งที่สำคัญ รถรับจ้างทั่วไปให้บริการขนย้ายสินค้าที่หลากหลาย เช่น ทั้งสินค้าการเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค และวัตถุดิบต่าง ๆ ของการขนย้ายสินค้านั่นเอง

   
ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ จังหวัดนครราชสีมา :

การที่มี รถรับจ้างขนย้ายเฟอร์นิเจอร์จังหวัดนครราชสีมา เป็นอีกหนึ่งบริการที่ได้รับความนิยม เพราะเมื่อมีการย้ายบ้าน หรือ ซื้อบ้านใหม่โครงการต่างๆ สิ่งที่ขาดไม่ได้อย่างแน่นอนนั่นก็คือการที่เราต้องเสียเงินการการแต่งบ้าน การซื้อเฟอร์นิเจอร์เข้าบ้านนั่นเอง จึงเกิดมีการจ้างงานในการ ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ที่บ่อยมากขึ้น โดยใช้ รถกระบะรับจ้างย้ายเฟอร์นิเจอร์โคราช ถ้าสินค้าชิ้นไม่ใหญ่ แต่ถ้าชิ้นใหญ่ก็ต้องใช้ รถ6ล้อรับจ้างขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ จังหวัดนครราชสีมา แทนนั่นเอง รถรับจ้างทั่วไปมีความสามารถในการขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ทุกขนาด พร้อมบริการจัดวางในตำแหน่งที่ต้องการอย่างเรียบร้อย ซึ่งบริการนี้ เราบริการท่านอย่างดีและเชี่ยวชาญมากที่สุดเลยก็ว่าได้


ขนย้ายเครื่องจักรจังหวัดนครราชสีมา :

สำหรับโรงงาน ที่ธุรกิจที่ต้องการขนย้ายเครื่องจักร หนัก รถรับจ้างขนย้ายเครื่องจักรจังหวัดนครราชสีมา ของเราๆมีอุปกรณ์ที่ช่วยยก และทีมงานที่มีประสบการณ์ในการขนย้ายเครื่องจักรอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทั้งการยก การขนส่ง และการติดตั้งใหม่ ซึ่งส่วนมากจะใช้ รถ10ล้อรับจ้างขนย้ายเครื่องจักร รถเฮี๊ยบรับจ้างขนย้ายเครื่องจักร รถ6ล้อรับจ้างขนย้ายเครื่องจักร ขึ้นอยู่กับลูกค้าต้องการแบบไหน

   
รถรับจ้างขนย้ายต้นไม้จังหวัดนครราชสีมา :

สำหรับคนรักต้นไม้ รักธรรมชาติและต้องการอยากให้สวนหรือบ้านของเราสวยมีความร่มรื่น มองไปทางไหนก็สบายตา จึงต้องซื้อต้นไม้และจ้าง รถรับจ้างขนย้ายต้นไม้ ในจังหวัดนครราชสีมา มาช่วยในการขนย้ายขนย้ายต้นไม้ขนาดใหญ่ หรือการขนย้ายต้นไม้ในสวนสาธารณะ รถรับจ้างย้ายต้นไม้ในนครราชสีมา ของขนส่ง ให้บริการขนย้ายต้นไม้ที่มีขนาดและชนิดต่าง ๆ อย่างดีและด้วยความระมัดระวัง เพื่อให้ต้นไม้คงสภาพและไม่เสียหายในระหว่างการขนส่ง มั่นใจเราได้เลย

   
ข้อดีของการใช้บริการ รถรับจ้างทั่วไปนครราชสีมา

    ขนย้ายได้ทุกงาน : โดยไม่จำกัดว่าจะขนย้ายอะไร ทำให้เราสะดวก ไม่ต้องกังวลในการหารถ เพราะที่นี่เขามีรถไว้รองรับซึ่งต่างจากที่อื่นแน่นอน มาที่เดียวจบเลย
    ความง่ายสะดวกสบาย : ไม่ต้องกังวลเรื่องการหายานพาหนะหรือทีมงานในการขนย้าย เพราะเรามี รถรับจ้างขนของ มากมายที่คอยสแตนบายรอรับงานคุณอย่างเพียงพอ ทุกบริการสามารถจัดการได้ในที่เดียว
    ประหยัดเวลาและแรงงาน : เราคือทีมงานมืออาชีพมีประสบการณ์ในการขนของ ทำให้การขนย้ายของของคุณนั้น รวดเร็วและมีความปลอดภัย กล้ารับประกัน
    ความปลอดภัยของทรัพย์สิน : บริการที่มีมาตรฐานมีอุปกรณ์ safety ป้องกันความเสียหายของสินค้าเป็นอย่างดี
    ราคาไม่แพง : บริการรถรับจ้าง ของเรามีการแข่งขันราคาให้ถูกและคุ้มเงินกับลูกค้าอย่างดที่สุด ที่สามารถต่อรองราคาได้อีกด้วย

รถรับจ้างทั่วไปในจังหวัดนครราชสีมา เป็นบริการที่ครบวงจรและตอบโจทย์ทุกความต้องการของการขนย้ายในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นการยกของด้วยพนักงานยกสินค้าที่เก่ง ขนย้ายแค้มป์งานก่อสร้าง สินค้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องจักร หรือต้นไม้ บริการเหล่านี้ช่วยให้การขนย้ายเป็นเรื่องง่ายและสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ด้วย รถกระบะรับจ้างขนของนครราชสีมา รถหกล้อรับจ้างขนของนครราชสีมา รถสิบล้อรับจ้างขนของนครราชสีมา รถรับจ้างขนของนครราชสีมา รถรับจ้างขนย้ายบ้านนครราชสีมา รถ4ล้อรับจ้างขนของนครราชสีมา รถเฮีียบรับจ้างขนของนครราชสีมา รถเทรลเลอร์รับจ้างขนของนครราชสีมา เป็นต้น โทรหาเราได้เลย

7
วิธีทำอาชีพเสริม เพิ่มรายได้จากข้าวผัดต้มยำ อาหารจานเดียวรสชาติจัดจ้าน

ข้าวผัดต้มยำเป็นอาหารไทยยอดนิยมที่ผสมผสานรสชาติจัดจ้านของต้มยำเข้ากับข้าวผัดหอมอร่อยได้อย่างลงตัว เมนูนี้มีหลากหลายรูปแบบ โดยแต่ละสูตรก็มีเอกลักษณ์และรสชาติที่แตกต่างกันไปข้าวผัดต้มยำเป็นอาหารไทยรสชาติจัดจ้านที่ผสมผสานระหว่างกลิ่นหอมและรสเผ็ดของต้มยำกับความสบายของข้าวผัด อาหารฟิวชั่นจานนี้รวบรวมสุดยอดอาหารไทยไว้ด้วยกัน

ข้าวผัดต้มยำ คืออะไร ?

ข้าวผัดต้มยำได้แรงบันดาลใจมาจากต้มยำซึ่งเป็นอาหารไทยขึ้นชื่อที่มีรสชาติจัดจ้านและจัดจ้าน โดยการนำส่วนผสมหลักของต้มยำมาใส่ในข้าวผัด ทำให้ข้าวผัดจานนี้กลายเป็นอาหารรสชาติเข้มข้นหอมอร่อยที่ทั้งอิ่มอร่อยและตื่นเต้นไปกับรสชาติ ส่วนผสมที่สำคัญ เคล็ดลับความอร่อยของข้าวผัดต้มยำอยู่ที่วัตถุดิบที่ดึงเอาความอร่อยของต้มยำออกมาได้:

 ข้าวหอมมะลิ
– ข้าวฐานสมบูรณ์แบบ มีความแน่นเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม กุ้งหรือไก่
– ทางเลือกโปรตีนทั่วไป แต่คุณยังสามารถใช้เต้าหู้สำหรับแบบมังสวิรัติได้อีกด้วย เครื่องต้มยำ
– ผสมผสานความเข้มข้นของตะไคร้ ข่า ใบมะกรูด พริก และกะปิ ให้รสชาติต้มยำอันเป็นเอกลักษณ์ กระเทียมและหัวหอม
– เพิ่มกลิ่นหอมโดยรวม น้ำปลาและน้ำมะนาว
– เพิ่มความเข้มข้นและรสเปรี้ยว พริกและสมุนไพรไทย
– เพื่อเพิ่มความร้อนและความหอม ไข่
– ไม่จำเป็น แต่จะช่วยให้มีเนื้อครีมมากขึ้น วิธีทำข้าวผัดต้มยำ

เตรียมข้าว

– ใช้ข้าวหอมมะลิหุงสุกที่เย็นแล้วเพื่อให้ข้าวมีเนื้อสัมผัสที่ดีที่สุด ผัดเครื่องเทศ
– ตั้งน้ำมันในกระทะให้ร้อนแล้วผัดกระเทียมและหัวหอมจนมีกลิ่นหอม ปรุงโปรตีน
– ใส่กุ้งหรือไก่แล้วผัดจนสุก เพิ่มรสชาติต้มยำ
– ผสมเครื่องต้มยำ น้ำปลา และน้ำเล็กน้อยเพื่อสร้างรสชาติที่ลงตัว ผัดข้าว
– ใส่ข้าวและคลุกเคล้าทุกอย่างให้เข้ากัน ปรุงรสและตกแต่งให้เสร็จ
– ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว พริกเพิ่มเติม หรือสมุนไพรตามต้องการ เสิร์ฟร้อนๆ
– ตกแต่งด้วยผักชีสด มะนาวฝาน และไข่ดาวด้านบน (ตามชอบ) ทำไมคุณถึงควรลอง รสชาติที่เข้มข้นและเป็นเอกลักษณ์
– ความคิดสร้างสรรค์ในการปรับรสชาติข้าวผัดแบบดั้งเดิม รวดเร็วและง่ายดาย
– สามารถทำได้ภายใน 20 นาที ปรับแต่งได้
– ปรับระดับเครื่องเทศหรือเพิ่มโปรตีนชนิดต่างๆ ประสบการณ์อาหารไทยแบบแท้ๆเหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบอาหารไทย

ข้าวผัดต้มยำเป็นเมนูที่ต้องลองสำหรับทุกคนที่ชอบอาหารรสจัด หอมกรุ่น และเผ็ดร้อน ไม่ว่าคุณจะชอบต้มยำหรือแค่ชอบข้าวผัด เมนูนี้ก็เข้ากันได้ดีกับทั้งสองอย่าง ลองทำกินเองที่บ้านแล้วคุณจะสัมผัสได้ถึงรสชาติอันเข้มข้นของไทย

8
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)

สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


9
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น
•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


10
ลงประกาศฟรี / ตรวจโรคมะเร็ง (Cancer)
« เมื่อ: วันที่ 27 กันยายน 2025, 23:17:33 น. »
ตรวจโรคมะเร็ง (Cancer)

มะเร็ง* เป็นเนื้องอกชนิดร้ายที่กลายมาจากเนื้อเยื่อปกติของร่างกาย มีการเจริญเติบโตและแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว อยู่เหนือการควบคุมของร่างกาย และทำลายอวัยวะต่าง ๆ เกิดอาการเจ็บป่วยและภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงต่าง ๆ

เซลล์และเนื้อเยื่อแทบทุกส่วนของร่างกายอาจกลายเป็นมะเร็งได้ แต่ที่พบบ่อย ได้แก่ ตับ ปอด เต้านม ลำไส้ใหญ่และไส้ตรง ปากมดลูก ต่อมลูกหมาก ต่อมน้ำเหลือง กระเพาะปัสสาวะ ช่องปาก เม็ดเลือดขาว เยื่อบุมดลูก รังไข่ กระเพาะอาหาร ไทรอยด์ หลอดอาหาร ตับอ่อน สมอง โพรงหลังจมูก ไต ถุงน้ำดี กล่องเสียง**

ส่วนใหญ่พบในคนอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป แต่ก็อาจพบในเด็ก และคนหนุ่มสาวได้

ในปัจจุบันมะเร็งเป็นสาเหตุการตายในอันดับแรก ๆ ของคนไทย

*มีชื่อเรียกอื่น ได้แก่ เนื้อร้าย เนื้องอกชนิดร้าย carcinoma, malignant tumor

**จากรายงาน Globocan2020 ขององค์การอนามัยโลก ปี 2563 ในประเทศไทยมีผู้ป่วยมะเร็งรายใหม่ 190,636 ราย (ชาย 93,425 ราย, หญิง 97,211 ราย) มีผู้ที่ตายด้วยโรคมะเร็ง 124,886 ราย (ชาย 68,087 ราย, หญิง 56,779 ราย)

มะเร็งที่พบบ่อย 10 อันดับแรก (นับรวมกันเป็นร้อยละ 69.8 ของผู้ป่วยมะเร็งทั้งหมด) ได้แก่ มะเร็งตับ (ร้อยละ 14.4), มะเร็งปอด (ร้อยละ 12.4), มะเร็งเต้านม (ร้อยละ 11.6), มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (ร้อยละ 10.9), มะเร็งปากมดลูก (ร้อยละ 4.8), มะเร็งต่อมลูกหมาก (ร้อยละ 4.5), มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (ร้อยละ 3.7), มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ (ร้อยละ 2.6), มะเร็งช่องปาก (ร้อยละ 2.5), มะเร็งเม็ดเลือดขาว (ร้อยละ 2.4)

มะเร็งที่พบบ่อย 5 อันดับแรกในผู้ชาย (นับรวมกันเป็นมากกว่า ร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมะเร็งในผู้ชายทั้งหมด) ได้แก่ มะเร็งตับ (ร้อยละ 19.6), มะเร็งปอด (ร้อยละ 16.5), มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (ร้อยละ 11.4), มะเร็งต่อมลูกหมาก (ร้อยละ 9.2), มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดนอนฮอดจ์กิน (ร้อยละ 4)

มะเร็งที่พบบ่อย 5 อันดับแรกในผู้หญิง (นับรวมกันเป็นมากกว่า ร้อยละ 60 ของผู้ป่วยมะเร็งในผู้หญิงทั้งหมด) ได้แก่ มะเร็งเต้านม (ร้อยละ 22.8), มะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรง (ร้อยละ 10.7), มะเร็งปากมดลูก (ร้อยละ 9.4), มะเร็งตับ (ร้อยละ 9.4) มะเร็งปอด (ร้อยละ 8.5)

สาเหตุ

เซลล์มะเร็ง คือ เซลล์ปกติของเนื้อเยื่อในร่างกายที่มีความผิดปกติเกิดขึ้นกับสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) ในเซลล์ ทำให้กลายพันธุ์เป็นเซลล์ที่มีการแบ่งตัวและแพร่กระจายได้รวดเร็ว

สาเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็งยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเป็นความผิดปกติที่ถ่ายทอดมาจากบิดามารดามาแต่กำเนิด หรือเกิดขึ้นภายหลังจากการได้รับสารก่อมะเร็งหรือสิ่งระคายเคืองเรื้อรัง เกิดการกลายพันธุ์ทีละน้อย จนในที่สุดกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งอาจใช้เวลานานนับสิบ ๆ ปี นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายที่ทำหน้าที่คอยตรวจสอบและกำจัดเซลล์มะเร็งที่ก่อตัวขึ้น ซึ่งหากบกพร่องก็จะปล่อยให้เซลล์มะเร็งไม่ถูกกำจัดและแบ่งตัวเจริญเติบโตเป็นก้อนมะเร็งในที่สุด

ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง* สามารถแบ่งเป็น 2 พวกใหญ่ ๆ ดังนี้

1. ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น

    ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย หากบกพร่อง (เช่น อายุมาก ป่วยเป็นเอดส์) ก็มีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นมะเร็ง
    เชื้อชาติ เช่น ชาวญี่ปุ่นเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารมาก ชาวจีนเป็นมะเร็งโพรงหลังจมูก และหลอดอาหารมาก
    เพศ มะเร็งตับ มะเร็งปอด พบมากในผู้ชาย มะเร็งของเต้านม มะเร็งไทรอยด์ พบมากในผู้หญิง
    อายุ มะเร็งส่วนใหญ่เกิดในวัยกลางคนและวัยสูงอายุ แต่บางชนิด เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งสมองบางชนิด มะเร็งลูกตาในเด็ก มะเร็งไตชนิดเนื้องอกวิล์มส์ พบมากในเด็ก มะเร็งกระดูกพบในวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว
    กรรมพันธุ์ มะเร็งเต้านมบางชนิด มะเร็งต่อมไทรอยด์บางชนิด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่ มะเร็งผิวหนัง มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งอัณฑะ มะเร็งลูกตาในเด็ก พบว่ามีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์ คือมักมีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันด้วย

ในปัจจุบันพบว่ามี “ยีนมะเร็งเต้านม (breast cancer gene)” ทำให้ผู้ที่รับการถ่ายทอดยีนนี้จากบรรพบุรุษมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ได้

นอกจากนี้พบว่า ยีนที่ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ชนิดที่เรียกว่า “Hereditary nonpolyposis colorectal cancer (HNPCC)” หรือ “Lynch syndrome” ทำให้ผู้ที่รับการถ่ายทอดยีนนี้จากบรรพบุรุษมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ถุงน้ำดี ท่อน้ำดี ตับ) มะเร็งทางเดินปัสสาวะ (ไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ) มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งสมอง มะเร็งผิวหนัง เป็นต้น

2. ปัจจัยภายนอกร่างกาย ได้แก่

(2.1) ปัจจัยทางกายภาพต่าง ๆ เช่น

    ฟันปลอมที่ไม่กระชับ เวลาเคี้ยวอาหารจะมีการเสียดสีกับเหงือกหรือเพดานปาก นาน ๆเข้าอาจทำให้เกิดมะเร็งของเหงือก หรือเพดานปากได้
    การกินอาหารหรือดื่มเครื่องดื่มร้อนจัดเป็นประจำ จะมีการระคายเคืองบริเวณหลอดอาหาร นาน ๆ เข้าอาจทำให้เป็นมะเร็งของหลอดอาหารได้
    รังสีต่าง ๆ ถ้าร่างกายได้รับเป็นระยะนาน ๆ ก็อาจเกิดมะเร็งอวัยวะต่าง ๆ ได้
    แสงอัลตราไวโอเลต (แสงแดด) อาจทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนังและริมฝีปาก

(2.2) สารเคมี ในปัจจุบันพบสารก่อมะเร็ง (carcinogen) มากกว่า 450 ชนิด อยู่ในรูปของอาหาร พืช สารเคมีต่าง ๆ เช่น

    สารหนู ทำให้เป็นมะเร็งของผิวหนัง
    สารใยหิน (asbestos) ทำให้เกิดมะเร็งปอด มะเร็งไต
    สารนิกเกิล (nickel) ทำให้เกิดมะเร็งปอด มะเร็งโพรงไซนัส
    บุหรี่ มีสารน้ำมันดิน (ทาร์) ซึ่งประกอบด้วยสารในกลุ่มโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ที่มีชื่อว่า เบนซ์ไพรีน (benzpyrene) ทำให้เกิดมะเร็งปอด กล่องเสียง ช่องปาก ทอนซิล ผิวหนัง เต้านม ปากมดลูก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ไต กระเพาะปัสสาวะ
    แอลกอฮอล์ ทำให้เกิดมะเร็งตับ หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กล่องเสียง ช่องปาก ทอนซิล เต้านม
    สารฟอร์มาลดีไฮด์ (formaldehyde) ทำให้เกิดมะเร็งจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก
    เบนซิน ทำให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว ตับอ่อน
    การเคี้ยวหมากหรือการจุกยาฉุน นอกจากจะก่อให้เกิดการระคายเรื้อรังแล้วยังมีสารเคมีที่ทำให้เป็นมะเร็งช่องปากได้
    สารไนโตรซามีน (nitrosamine) ในอาหารโปรตีนหมักหรือเนื้อสัตว์หมักเกลือหรือดินประสิวหรือรมควัน ทำให้เกิดมะเร็งตับ กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก ตับ โพรงหลังจมูก
    ดีดีที เมื่อเข้าในร่างกาย อาจเปลี่ยนเป็นสารไดไนโตรซามีน ซึ่งมีฤทธิ์เหมือนไนโตรซามีน
    สีย้อมผ้าที่ใช้แต่งสีในอาหารหรือขนม ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ ทางเดินน้ำดี

(2.3) ฮอร์โมน ฮอร์โมนเอสโทรเจน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม รังไข่ เยื่อบุมดลูก ฮอร์โมนแอนโดรเจน (เทสโทสเทอโรน) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก

    การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบชนิดบีหรือซี มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเซลล์ตับ
    การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (human papilloma virus/HPV) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปากมดลูก ช่องปาก องคชาต
    การติดเชื้อไวรัสเอชทีแอลวี-1 (human T-cell leukemia virus/HTLV-1) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาว และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง
    การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดเบอร์กิต (Burkitt’s lymphoma) และมะเร็งโพรงหลังจมูก
    การติดเชื้อเอชไอวี (เอดส์) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองและมะเร็งหลอดเลือด ที่เรียกว่า Kaposi’s sarcoma (ดูข้อมูล "โรคเอดส์" เพิ่มเติม)
    การติดเชื้อเอชไพโลไร (Helicobacter pylori/H.pylori) มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร

    ภาวะขาดอาหาร เช่น โรคตับแข็ง ซึ่งเกิดจากการขาดสารโปรตีน จะกลายเป็นมะเร็งตับได้ง่าย
    การบริโภคอาหารพวกเนื้อแดงและไขมันสัตว์มาก ทำให้เกิดมะเร็งลำไส้เล็ก ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก
    การบริโภคเนื้อเค็ม ปลาเค็มหรือหมักเกลือ ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็ก โพรงหลังจมูก
    การบริโภคเนื้อสัตว์ปิ้งย่าง (ซึ่งมีสารเบนซ์ไพรีน) หรือผักดอง ทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร
    การกินผักและผลไม้น้อยมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งปอด หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ปากมดลูก ตับอ่อน

(2.8) ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งเต้านม รังไข่ เยื่อบุมดลูก กระเพาะอาหาร หลอดอาหาร ลำไส้ใหญ่ ตับอ่อน ต่อมลูกหมาก ไต

*ปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็ง เรียกว่า ปัจจัยเสี่ยง (risk factors) ต่อการเกิดมะเร็ง ซึ่งหมายความว่า ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงมีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยง แต่เมื่อดูเพียงปัจจัยเสี่ยงอย่างใดอย่างหนึ่ง (เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์จัด หรือการมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือพี่น้องเป็นมะเร็ง) ก็ไม่ได้หมายความว่ากลุ่มคนที่มีปัจจัยเสี่ยงนั้น ๆ จะกลายเป็นมะเร็งทุกคนไป หากแต่มีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงนั้น ๆ (จะมากเป็นกี่เท่าย่อมขึ้นกับมะเร็งแต่ละชนิด) เช่น ผู้ที่สูบบุหรี่มีเพียงบางคนเท่านั้นที่จะเป็นมะเร็งปอด แต่ผู้ที่สูบบุหรี่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ไม่เป็นมะเร็งปอด ตรงกันข้าม ผู้ที่ไม่ได้สูบบุหรี่แม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่เป็นมะเร็งปอด แต่ก็มีบางคนที่เป็นมะเร็งปอด (ซึ่งเกิดจากปัจจัยอื่น) ทั้งนี้ เนื่องจากมะเร็งส่วนใหญ่ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่ามีสาเหตุอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร เพียงแต่สันนิษฐานว่ามีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงอะไร ซึ่งมักจะมีปัจจัยเสี่ยงหลายอย่างร่วมกันที่จะทำให้เป็นมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ในการลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง ก็จำเป็นต้องหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ที่เลี่ยงได้ (เช่น บุหรี่ แอลกอฮอล์ ภาวะอ้วนหรือน้ำหนักเกิน การขาดการออกกำลังกาย เป็นต้น) ให้มากที่สุด

อาการ

การแบ่งระยะของโรคมะเร็ง

โดยทั่วไป แบ่งเป็น 4 ระยะ ได้แก่

ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งจำกัดเฉพาะภายในอวัยวะที่เป็นมะเร็ง เช่น

    มะเร็งปากมดลูก จำกัดอยู่เฉพาะภายในปากมดลูก
    มะเร็งปอด จำกัดอยู่ภายในปอด อาจลุกลามถึงหลอดลม หรือเยื่อหุ้มปอดชั้นใน (visceral pleura) แต่ยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง
    มะเร็งเต้านม มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางต่ำกว่า 2 ซม. และยังไม่ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลือง

ระยะที่ 2 เซลล์มะเร็งลุกลามไปยังเนื้อเยื่อโดยรอบ เช่น

    มะเร็งปากมดลูก ลุกลามไปยังเนื้อเยื่อที่อยู่ติดกับปากมดลูก รวมทั้งช่องคลอดส่วนบน แต่ยังไม่ลุกลามเข้าอุ้งเชิงกราน
    มะเร็งปอด ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณขั้วปอดหรือรอบ ๆ หลอดลม หรือลุกลามไปยังผนังทรวงอก (กระดูกซี่โครง) กะบังลม เยื่อหุ้มปอดชั้นนอก (parietal pleura) หรือเยื่อหุ้มหัวใจชั้นนอก
    มะเร็งเต้านม ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน หรือก้อนมะเร็งมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 ซม.

ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งแพร่ไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง เช่น

    มะเร็งปากมดลูก แพร่ไปยังช่องคลอดส่วนล่าง หรือเนื้อเยื่อภายในอุ้งเชิงกราน
    มะเร็งปอด แพร่ไปยังผนังทรวงอก กะบังลม เยื่อหุ้มปอดชั้นนอก เยื่อหุ้มหัวใจชั้นนอก ร่วมกับต่อมน้ำเหลืองบริเวณขั้วปอดหรือรอบ ๆ หลอดลม หรือแพร่ไปยังเนื้อเยื่อภายในประจันอก (mediasternum) หัวใจ ท่อลม หลอดอาหาร หรือกระดูกสันหลัง หรือแพร่ไปยังต่อมน้ำเหลืองที่แอ่งไหปลาร้า หรือประจันอกข้างเดียวกัน ต่อมน้ำเหลืองขั้วปอดหรือประจันอกในทรวงอกข้างตรงข้าม
    มะเร็งเต้านม แพร่ไปยังผนังทรวงอก และ/หรือผิวหนัง (เป็นแผลหรือตุ่มหลายตุ่มบนผิวหนังข้างเดียวกับเต้านมที่เป็นมะเร็ง) หรือพบว่ามีก้อนมะเร็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 5 ซม. ร่วมกับการแพร่ไปที่ต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกัน หรือพบว่ามีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้มีลักษณะยึดติดกันหลายก้อน หรือยึดติดกับเนื้อเยื่อข้างเคียง หรือมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่มีชื่อว่า internal mammary nodes หรือ infraclavicular nodes หรือ lateral supraclavicular nodes

ระยะที่ 4 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะที่อยู่ไกลออกไป เช่น

    มะเร็งปากมดลูก แพร่ไปยังกระเพาะอาหาร ลำไส้ ตับ ปอด กระดูก
    มะเร็งปอด แพร่ไปยังสมอง ไขสันหลัง ตับ กระดูกทั่วร่างกาย
    มะเร็งเต้านม แพร่ไปยังปอด ตับ กระดูก

อาการเฉพาะที่ของมะเร็ง (สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็ง)
1. มีตุ่ม ไต ก้อนแข็ง ที่เป็นเรื้อรัง ไม่เจ็บ หรือโตขึ้นเรื่อย ๆ

    ถ้าพบตามผิวหนังทั่วไป เช่น บริเวณใบหน้า หู คอ หน้าอก หลัง แขน มือ เป็นต้น อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง
    ถ้าพบเป็นก้อนแข็งขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า 1 ซม. ที่ข้างคอ แอ่งไหปลาร้า รักแร้ หรือขาหนีบ อาจเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือมะเร็งส่วนอื่นที่แพร่กระจายมาที่ต่อมน้ำเหลือง
    ถ้าพบก้อนแข็งที่ริมฝีปาก ต่อมไทรอยด์ เต้านม หรืออัณฑะ กระดูก อาจเป็นมะเร็งช่องปาก มะเร็งไทรอยด์ มะเร็งเต้านม หรือมะเร็งอัณฑะ มะเร็งกระดูก
    ถ้าคลำได้ก้อนแข็งในช่องท้องบริเวณใต้ชายโครงขวา อาจเป็นมะเร็งตับ บริเวณใต้ลิ้นปี่หรือเหนือสะดือ อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับอ่อนบริเวณท้องน้อย อาจเป็นมะเร็งรังไข่ มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ

2. ถ้าเป็นแผลเรื้อรัง (นานเกิน 2-3 สัปดาห์) ตามผิวหนัง อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง ในช่องปาก อาจเป็นมะเร็งช่องปาก

3. หูด ไฝ ปาน แผลเป็น ที่มีการเปลี่ยนแปลง เช่น สีเปลี่ยน โตเร็ว แตกเป็นแผล มีเลือดออก เป็นต้น อาจเป็นมะเร็งผิวหนัง

4. มีเลือดออก หรือสิ่งไหลออก (discharge) ตามที่ต่าง ๆ

    จ้ำเขียวพรายย้ำตามผิวหนัง อาจเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
    เลือดกำเดาไหล หรือมีเลือดปนน้ำมูก อาจเป็นมะเร็งจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
    เลือดออกจากปาก อาจเป็นมะเร็งช่องปาก มะเร็งเม็ดเลือดขาว
    ไอเป็นเลือด หรือมีเลือดปนเสมหะ อาจเป็นมะเร็งปอด
    อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้เล็ก
    ถ่ายอุจจาระเป็นเลือดสด หรือถ่ายเป็นมูกปนเลือดเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่
    ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด อาจเป็นมะเร็งไต มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมลูกหมาก
    เลือดออกทางช่องคลอด หรือมีประจำเดือนกะปริดกะปรอยหรือออกมากกว่าปกติ หรือมีตกขาว อาจเป็นมะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก
    เลือดหรือสิ่งไหลออกจากหัวนม อาจเป็นมะเร็งเต้านม

5. ไอเรื้อรัง เกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นมะเร็งปอด

6. เสียงแหบ หรือเจ็บคอเกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นมะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งทอนซิล มะเร็งปอด

7. คัดจมูก แน่นจมูกเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งจมูก มะเร็งโพรงหลังจมูก

8. กลืนลำบาก อาจเป็นมะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งปอด

9. เจ็บหน้าอกเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งปอด มะเร็งตับ

10. อาเจียน ปวดท้อง แสบท้อง แน่นท้อง มีลมในท้อง หรือท้องมาน (ท้องบวม) อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้เล็ก มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งรังไข่

11. ดีซ่าน (ตาเหลือง ตัวเหลือง) อาจเป็นมะเร็งตับ มะเร็งตับอ่อน มะเร็งลำไส้เล็ก

12. ถ่ายอุจจาระเป็นแท่งดินสอ ท้องเดินเรื้อรัง ท้องผูกเรื้อรัง หรือท้องเดินสลับท้องผูก อาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

13. ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะลำเล็ก หรือไม่พุ่ง เวลารู้สึกปวดปัสสาวะต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที อาจเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งรังไข่

14. ปวดศีรษะ เวียนศีรษะ บ้านหมุน เดินเซ ชัก หรือเห็นภาพซ้อน อาจเป็นมะเร็งสมอง (ดูข้อมูล “โรคเนื้องอกสมอง” ประกอบ)

15. แขนหรือขาชา หรืออ่อนแรง อาจเป็นมะเร็งสมอง (ดูข้อมูล “โรคเนื้องอกสมอง” ประกอบ) มะเร็งไขสันหลัง (ดูข้อมูล “โรคเนื้องอกไขสันหลัง” ประกอบ)

16. ปวดหลังเรื้อรัง อาจเป็นมะเร็งกระดูกสันหลัง มะเร็งรังไข่ มะเร็งตับอ่อน

17. กระดูกบวม ข้อบวม หรือปวดกระดูก อาจเป็นมะเร็งกระดูก

18. ตาดำเห็นเป็นสีขาววาวคล้ายตาแมว อาจเป็นมะเร็งลูกตาในเด็ก

ภาวะแทรกซ้อน

เมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะไกลจากตำแหน่งที่เป็น เช่น ไปที่สมอง ปอด ตับ กระดูก ไขสันหลัง ก็จะมีอาการต่าง ๆ ตามอวัยวะที่พบ เช่น หอบเหนื่อย (ปอด) ดีซ่าน (ตับ) ปวดหลัง (กระดูกสันหลัง) ปวดศีรษะ เดินเซ แขนขาชาหรืออ่อนแรงซีกหนึ่ง ชัก (สมอง) แขนหรือขาชาและอ่อนแรงข้างหนึ่ง (ไขสันหลัง) เป็นต้น และระยะสุดท้ายอาจมีอาการเจ็บปวดรุนแรงร่วมด้วย

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจพิเศษ เช่น ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ ตรวจอุจจาระ เอกซเรย์ ตรวจอัลตราซาวนด์ ตรวจสแกน (scan) ใช้กล้องส่องตรวจ (scopy) ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และทำการตรวจทางพยาธิวิทยา ได้แก่ การตรวจหาเซลล์มะเร็ง (cytology) และการตรวจชิ้นเนื้อ (biopsy)

นอกจากเป็นการยืนยันการวินิจฉัยโรคมะเร็งแล้ว การตรวจพิเศษดังกล่าวยังสามารถระบุชนิดของเซลล์มะเร็งและระยะของโรค ซึ่งมีผลในการทำนายโรค (ว่ารุนแรงเพียงใด) และการวางแผนการรักษา

การรักษาโดยแพทย์

ส่วนใหญ่จะใช้วิธีผ่าตัดนำก้อนมะเร็งออกไปให้มากที่สุดเป็นหลัก ยกเว้นในรายที่เป็นระยะท้ายที่มะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างกายแล้ว ก็อาจไม่ทำผ่าตัดก้อนมะเร็งออก แต่อาจผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนเพื่อบรรเทาความทุกข์ทรมาน หรือในรายที่เป็นมะเร็งตรงตำแหน่งที่ผ่าตัดไม่ได้ ก็อาจเลือกใช้วิธีอื่นในการรักษา นอกจากการผ่าตัดแล้ว แพทย์อาจเลือกให้การรักษาด้วยวิธีอื่น ได้แก่

    รังสีรักษาหรือรังสีบำบัด (radiation therapy) ได้แก่ การฉายรังสี หรือใส่แร่เรเดียมซึ่งเป็นกัมมันตรังสีตรงบริเวณที่เป็นมะเร็ง เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ทำให้ก้อนมะเร็งยุบตัวลงและป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจาย นิยมใช้ร่วมกับการผ่าตัด บางครั้งอาจใช้เป็นวิธีหลักแทนการผ่าตัด
    เคมีบำบัด (chemotherapy) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีทั้งยาชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด และชนิดกิน มักใช้ร่วมกับการผ่าตัดหรือรังสีรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เป็นระยะที่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายหรือเป็นก้อนโต บางกรณี เช่น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ใช้เป็นวิธีหลักในการรักษาแทนวิธีอื่น เคมีบำบัดอาจมีผลข้างเคียง ทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ผมร่วง เม็ดเลือดขาวต่ำ (ติดเชื้อง่าย) เม็ดเลือดแดงและเกล็ดเลือดต่ำ เป็นต้น ซึ่งจะเป็นอยู่เพียงชั่วคราว เมื่อหยุดยาแล้ว อาการเหล่านี้ก็จะหายไปได้เอง
    การรักษาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy) เป็นการให้ยา (มีทั้งชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด และชนิดกิน) ไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง โดยไปทำปฏิกิริยากับโมเลกุลเป้าหมายจำเพาะ (targeted molecule) ที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง (ไม่ใช่กับเซลล์ปกติ) ซึ่งมีอยู่หลายกลุ่ม อาทิ กลุ่มโมโนโคลนอลแอนติบอดี (monoclonal antibody), กลุ่มยาที่มีโมเลกุลเล็ก (small molecules) เป็นต้น สามารถใช้รักษาโรคมะเร็งได้หลายชนิด อาทิ มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปอด มะเร็งตับ มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งรังไข่ มะเร็งไต มะเร็งศีรษะและลำคอ เป็นต้น ทั้งในระยะแพร่กระจายและไม่แพร่กระจาย
    อิมมูนบำบัด (immunotheraphy) เป็นการให้สารเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็ง เช่น สารภูมิต้านทานกลุ่มโมโนโคลนอลแอนตีบอดี (monoclonal antibody), อินเตอร์เฟอรอน (interferon), อินเตอร์ลิวคิน-2 (interleukin-2), Granulocyte-macrophage colony-stimulating factor (GM-CSF) เป็นต้น
    ฮอร์โมนบำบัด (hormone therapy) คือการใช้ฮอร์โมนในการรักษามะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก
    การปลูกถ่ายไขกระดูก/เซลล์ต้นกำเนิดจากเลือด (bone-marrow/stem cell transplantation) สำหรับมะเร็งเม็ดเลือดขาว

วิธีบำบัดเหล่านี้มักจะใช้ร่วมกันหลาย ๆ วิธี มากกว่าใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเพียงอย่างเดียว

ผลการรักษา ขึ้นกับชนิดของมะเร็ง ระยะความรุนแรงของโรค และสภาพของผู้ป่วย (ความร่วมมือในการรักษา การปฏิบัติตน ความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย กำลังใจ เป็นต้น)

มะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง มะเร็งช่องปาก มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเยื่อบุมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองบางชนิด มะเร็งเม็ดเลือดขาวบางชนิด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งโพรงหลังจมูก มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งกระดูก เป็นต้น ถ้าหากได้รับการรักษาตั้งแต่แรกเริ่ม อาจมีชีวิตอยู่ได้นาน หรือหายขาดได้

ส่วนมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งตับอ่อน มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งรังไข่ มะเร็งไต ซึ่งมักตรวจพบระยะท้ายเมื่อมีอาการชัดเจนแล้ว การรักษามักไม่ได้ผลดี ส่วนใหญ่เป็นการรักษาแบบประทังอาการ (palliative care) เพื่อลดความเจ็บปวดและความทุกข์ทรมาน ผู้ป่วยมักมีชีวิตโดยเฉลี่ยประมาณ 6-12 เดือน แต่บางรายก็อาจอยู่ได้นานหลายปี

ในปัจจุบัน มีวิธีการรักษามะเร็งและยารักษามะเร็งชนิดใหม่ ๆ ช่วยให้ผู้ป่วยแม้เป็นมะเร็งระยะท้ายสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดี และมีชีวิตยืนยาวมากขึ้นกว่าเดิม

การดูแลตนเอง

หากมีอาการที่น่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นมะเร็ง ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการซื้อยามากินเอง
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืช โปรตีนที่มีไขมันน้อย (เช่น ปลา ไข่ขาว เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง)
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    ออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ รวมทั้งงานอดิเรกที่ชอบ และงานจิตอาสา เท่าที่ร่างกายจะอำนวย
    ทำสมาธิ เจริญสติ หรือสวดมนต์ภาวนาตามหลักศาสนาที่นับถือ
    ถ้ามีโอกาสควรหาทางเข้าร่วมกิจกรรมของกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน หรือกลุ่มมิตรภาพบำบัด
    ผู้ป่วยและญาติควรหาทางเสริมสร้างกำลังใจให้ผู้ป่วย ยอมรับความจริง และใช้ชีวิตในปัจจุบันให้ดีและมีคุณค่าที่สุด
    ถ้าหากมีเรื่องวิตกกังวลเกี่ยวกับโรคและวิธีบำบัดรักษา รวมทั้งการแสวงหาทางเลือกอื่น (เช่น การใช้สมุนไพร ยาหม้อ ยาลูกกลอน การนวด ประคบ การฝังเข็ม การล้างพิษ หรือวิธีอื่น ๆ) ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์ และทีมสุขภาพที่ดูแลประจำและรู้จักมักคุ้นกันดี

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีอาการไม่สบายหรืออาการผิดปกติ เช่น มีไข้ อ่อนเพลียมาก หอบเหนื่อย หายใจลำบาก ชัก แขนขาชาหรืออ่อนแรง ซีด มีเลือดออก ปวดท้อง ท้องเดิน อาเจียน เบื่ออาหารมาก  กินไม่ได้ ดื่มน้ำไม่ได้ เป็นต้น
    ขาดยาหรือยาหาย
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

11
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ช่วยให้รับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายจริงหรือ

ในเรื่องของการรับประทานอาหาร สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มักพบได้บ่อยเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใดก็มักจะพบปัญหาระหว่างการรับประทานอาหาร ซึ่งการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันนั้น ถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง เพราะการที่มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันนั้นรับประทานอาหารได้ลำบากมากยิ่งขึ้น หรือบางทีการที่มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากอาจจะทำให้เกิดแผลภายในช่องปากได้ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารหรือเบื่ออาหาร เนื่องจากปัญหาที่มาจากสุขภาพช่องปากและฟัน

แต่ในปัจจุบันนั้น ได้มีนวัตกรรมการจัดฟันรูปแบบใหม่นั่นก็คือ การจัดฟันแบบใส ที่มีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นนั่นก็คือ เครื่องมือการจัดฟันที่มีความใสและสามารถถอดออกได้ ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันรู้สึกสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและทำให้รับประทานอาหารได้อร่อยมากกว่าเดิม และหลากหลายมากขึ้น เพราะเนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้นสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร ดังนั้น จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย โดยที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าเครื่องมือการจัดฟันจะหลุดออกมาขณะรับประทานอาหาร

ซึ่งหลายคนที่เข้ารับการจัดฟันนั้น มักมีความกังวลในข้อนี้กังวลว่า เครื่องมือจัดฟันอาจจะหลุดขณะรับประทานอาหารและเผลอกลืนเข้าไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้และยิ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วยหากเครื่องมือหลุด ซึ่งเครื่องมือการจัดฟันแบบใสจะช่วยให้ผู้เข้ารับการจัดฟันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับแผลภายในช่องปาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกี่ยวของเครื่องมือการจัดฟัน  นอกจากนี้วิธีการจัดฟันแบบใสยังมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ถึงแม้ว่าการจัดฟันแบบใสนั้น อาจจะใช้หรือเวลานานกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่น เนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันสามารถถอดออกได้และยังเป็นเครื่องมือที่ทำให้การเคลื่อนตัวของฟันนั้นเป็นไปอย่างช้าๆ จึงทำให้ต้องจัดฟันนานกว่าปกติ

แต่ถ้าหากพูดถึงความสะดวกสบายแล้วการจัดฟันแบบใสนั้นสามารถตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับจุดเด่นของการจัดฟันแบบใสอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าช่วยทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถทานอาหารได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นหลายคนสงสัยว่าจริงหรือไม่ที่การจัดฟันแบบใสนั้นทำให้รับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขมากขึ้น  หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใส มีข้อดีมากกว่าเครื่องมือแบบติดแน่น ก็ตรงที่มันมองแทบไม่เห็น โดยที่คนอื่นจะมองไม่ออกเลยว่าคุณกำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ เพราะเครื่องมือทำจากพลาสติกที่มีความใส จึงทำให้การจัดฟันแบบใสนั้น เหมาะกับผู้เข้ารับการรักษาในวัยผู้ใหญ่ หรือคนที่ไม่ชอบสวมใส่เหล็กจัดฟัน หรือผู้เข้ารับการรักษาในบางอาชีพ ที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นเหล็กจัดฟันในปาก เช่น พิธีกร ดารา นักแสดง ที่ต้องใช้บุคลิกภาพในการทำงาน

ทั้งนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังสามารถถอดเข้า-ออกได้ จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันนั้น สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ และข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เครื่องมือการจัดฟันแบบใสมีความดูแลง่าย ไม่ต้องกลัวเครื่องมือจะหลุดขณะรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ  สะอาดทั่วถึง จึงช่วยลดโอกาสที่ฟันจะผุ ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคเหงือก เพราะเครื่องมือสามารถถอดได้ขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน 

ทั้งยังให้ความรู้สึกอิสระ เพราะจะใส่หรือถอดมันเมื่อไหร่ก็ได้ ต่างจากเครื่องมือติดแน่น แต่ถ้าให้ดีที่สุดคือ ผู้เข้ารับการจัดฟัน ควรสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันวันละ 20-22 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อผลการรักษาที่ดี ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงาม เป็นธรรมชาติและบุคลิกภาพที่ดี

12
เด็กที่มีช่องฟันห่าง  สามารถแก้ไขด้วยการจัดฟันเด็ก ?

สุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอยดูแลเอาใจใส่ให้มากเป็นพิเศษ เพราะเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนมอยู่นั้น พ่อแม่จะต้องระวังในเรื่องของของการเกิดฟันผุของลูก เพราะเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนม ไใควรที่จะมองข้าม เพราะถ้าหากเกิดฟันผุและสูญเสียฟันก่อนเวลาอันควรอาจจะทำให้เด็กมีปัญหาในเรื่องสุขภาพฟันในอนาคตได้  ดังนั้นการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก จึงมีความสำคัญมากเพราะสุขภาพฟันในวัยเด็กนั้น สามารถส่งผลต่อสุขภาพฟันในอนาคตได้ ยิ่งถ้าหากเด็กมีฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควร อาจจะทำให้เกิดภาวะฟันหายหรือฟันห่างเพราะฟันแท้ที่ควรที่จะขึ้นมานั้น ไม่สามารถงอกขึ้นมาตามธรรมชาติได้


ซึ่งที่เราเรียกว่าฟันหายและส่งผลทำให้เกิดฟันห่างตามมา ถ้าเด็กมีฟันห่างอาจจะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจ โดนเพื่อนล้อ หรืออาจส่งผลต่อการรับประทานอาหาร ทำให้การบดเคี้ยวอาหารมีประสิทธิภาพน้อยลงและสามารถทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง ดังนั้น หากเด็กมีปัญหาฟันห่างวิธีการที่ดีที่สุดก็คือควรพาเด็กเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อขอรับคำแนะนำและเข้ารับการรักษาการจัดฟันในเด็ก เพราะการจัดฟันในเด็ก สามารถช่วยแก้ไขปัญหาฟันได้แทบทุกกรณีและสามารถรักษาฟันของเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปีเลยทีเดียว ทั้งยัง ช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้า แก้ไขความผิดปกติของกล้ามเนื้อบนใบหน้าและปรับตำแหน่งลิ้นให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เพื่อให้เด็กได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ตั้งแต่อายุยังน้อย


อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดทำความเข้าใจถึงปัญหาฟันของเด็ก ว่าถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจจะส่งผลทำให้เด็กมีสุขภาพช่องปากและฟันในอนาคตได้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่อันตรายและส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรง และวันนี้เราจะมาพูดถึงเด็กที่มีปัญหาช่องฟันห่างว่าสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ก่อนอื่นเราจะมาพูดถึงภาวะฟันห่างก่อน ซึ่งภาวะฟันห่างนั้นส่งผลทำให้เสียความมั่นใจ มีรอยยิ้มที่ไม่มั่นใจ ซึ่งถือว่าส่งผลต่อการเข้าสังคมเป็นอย่างมาก แต่ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการเข้ารับการจัดฟันเพราะการจัดฟัน เป็นการจัดเรียงตัวฟันเพื่อให้ฟันเรียงตัวกันอย่างสวยงาม เช่นเดียวกันกับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถแก้ไขปัญหาฟันห่างได้แต่จะใช้ระยะเวลานานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับปัญหาของแต่ละบุคคล


สำหรับฟันห่างนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมของเด็ก เช่น การดูดนิ้ว การใช้ลิ้นดุนฟัน หรือการกลืนนน้ำลายที่ผิดวิธี พฤติกรรมเหล่านี้ส่งผลต่อสุขภาพฟันหรือแม้กระทั่งขากรรไกรและขนาดของฟันที่ไม่สมดุลกันก็จะทำให้มีช่องว่างระหว่างฟันได้มากกว่าปกติหรือการสูญเสียฟันก่อนกำหนดทำให้ฟันซี่อื่นเคลื่อนตัวออกจากทิศทางเดิม ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันได้ นอกจากนี้ปัญหาเกี่ยวกับโรคเหงือกอักเสบก็สามารถทำให้เกิดฟันห่างได้เช่นเดียวกัน แต่เด็กที่มีภาวะช่องฟันห่าง ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการจัดฟันในเด็ก เพระานอกจากนี้จะช่วยในการแก้ไขปัญหาฟันห่างแล้ว ยังสามารถช่วยปรับโครงสร้างของใบหน้าได้ด้วย

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะคลินิกของเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านการจัดฟันในเด็กและมีประสบการณ์อย่างยาวนาน จึงทำให้สามารถแนะนำหรือแก้ไขปัญหาฟันได้อย่างถูกวิธีและทันตแพทย์ของเรายังสามารถช่วยประเมินปัญหาและแนะนำแนวทางการแก้ไขได้อย่างตรงจุด สามารถแนะนำวิธีการรักษาโดยยึดหลักปัญหาฟันของเด็กเพื่อให้เด็กได้รับการรักษาที่ถูกวิธี

เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรพาบุตรหลานของท่านที่มีปัญหาฟัน เข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟัน เพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อให้เด็กได้สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเต็มที่ เสริมสร้างพัฒนาการของเด็กและทำให้เด็กมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

13
ลงประกาศฟรี / หมอออนไลน์: โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome/RLS)
« เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2025, 15:53:19 น. »
หมอออนไลน์: โรคขาอยู่ไม่สุข (Restless legs syndrome/RLS)

โรคขาอยู่ไม่สุข* เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาท ทำให้มีอาการขยับขาหรือขากระตุก ซึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

พบได้ในคนทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็ก และพบมากขึ้นตามอายุ พบมากในช่วงวัยกลางคน ผู้หญิงเป็นมากกว่าผู้ชาย และอาการมักรุนแรงกว่า

ผู้ป่วยประมาณร้อยละ 50 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีอาการตั้งแต่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีประวัติว่ามีพ่อแม่พี่น้องเป็นโรคนี้ด้วย ซึ่งเนื่องมาจากมีกรรมพันธุ์ที่ผิดปกติ

*มีอีกชื่อหนึ่งว่า Willis-Ekbom disease


สาเหตุ

ส่วนใหญ่เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ สันนิษฐานว่าอาจเกี่ยวกับสมองผลิตสารสื่อประสาทที่มีชื่อว่า โดพามีน (dopamine) ได้น้อยกว่าปกติ ซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับปัจจัยทางกรรมพันธุ์ (พบว่าผู้ป่วยบางรายมียีนผิดปกติที่ถ่ายทอดให้ลูกหลานได้)

สารโดพามีนเกี่ยวข้องกับการควบคุมการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อ เมื่อมีน้อยกว่าปกติก็จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งและเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติ โดยปกติโดพามีนจะลดระดับลงในช่วงเย็น ๆ ดังนั้นโรคนี้จึงมักมีอาการเกิดขึ้นในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ และตอนกลางคืน

ส่วนน้อยอาจพบว่ามีสาเหตุ คือ พบร่วมหรือเป็นภาวะแทรกซ้อนของโรคอื่น ๆ  อาทิ

    ภาวะขาดธาตุเหล็ก (เช่น มีเลือดออก มีประจำเดือนออกมาก) ซึ่งอาจทำให้เกิดมีภาวะโลหิตจางหรือไม่ก็ได้ ภาวะขาดธาตุเหล็กทำให้โดพามีนลดลง จึงทำให้เกิดโรคขาอยู่ไม่สุขได้
    ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ซึ่งมักมีภาวะขาดธาตุเหล็กและโลหิตจาง
    ผู้ที่มีภาวะปลายประสาท (ที่แขนขา) เสื่อม ซึ่งอาจเป็นภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน หรือโรคพิษสุราเรื้อรัง
    โรคพาร์กินสัน
    ไขสันหลังได้รับบาดเจ็บ หรือการฉีดยาชาเข้าไขสันหลังระหว่างผ่าตัด
    หญิงบางคนอาจมีอาการนี้ระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาสที่ 3 และหลังคลอดอาการจะหายไปได้เอง
    นอกจากนี้พบว่ามียาบางชนิดที่ทำให้อาการรุนแรงขึ้น เช่น ยาแก้แพ้ แก้อาเจียน ยาต้านซึมเศร้า ยาทางจิตประสาท

อาการ

ผู้ป่วยมีความรู้สึกแปลก ๆ ที่ขา เช่น รู้สึกคัน แสบร้อน รู้สึกยิบ ๆ เหมือนมีตัวอะไรไต่ที่ขา รู้สึกปวดตุบ ๆ เจ็บจี๊ด ๆ คล้ายถูกเข็มแทง รู้สึกว่าถูกดึงขา เป็นต้น บางคนอาจบรรยายลักษณะอาการไม่ถูก และมักบอกว่าไม่เหมือนเป็นเหน็บชาหรือเป็นตะคริว ผู้ป่วยมักบอกว่ามีความรู้สึกที่ทนไม่ได้และจะต้องขยับขาเพื่อให้ความรู้สึกนั้นหายไป

บางรายอาจมีอาการที่บริเวณอื่น (เช่น แขน หน้าอก ศีรษะ ใบหน้า) ร่วมด้วยก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นที่ขา 2 ข้าง อาจเป็นข้างหนึ่งก่อนแล้วเป็นอีกข้างตามมา หรืออาจเป็นเพียงข้างเดียว

มักเป็นในช่วงเวลานั่งนิ่ง ๆ นาน ๆ (เช่น ระหว่างอยู่ในห้องประชุม ชมภาพยนตร์ นั่งรถ หรือเครื่องบิน) หรือเวลานอน มักเป็นมากในช่วงเย็น ๆ ค่ำ ๆ จนถึงกลางดึก อาการมักน้อยลงในช่วงย่ำรุ่ง และเวลานวดคลึงหรือเคลื่อนไหวขา (เช่น ยืดเหยียดขา ขยับขาไปมา ก้าวเดิน) อาการมักจะทุเลาลง

อาการที่เป็นแต่ละครั้งมีความรุนแรงไม่เท่ากัน บางครั้งอาจเป็นเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจรุนแรงถึงทำให้นอนไม่หลับ อาจมีอาการทุกวัน หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ เป็นครั้งคราว

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีภาวะขากระตุกขณะนอนหลับ (periodic limb movement disorder/PLMD) ร่วมด้วย โดยมักมีอาการขากระตุกโดยอัตโนมัติตอนนอนหลับเป็นครั้งคราว แต่ละคราวมักมีอาการกระตุกซ้ำ ๆ ทุก 20-40 วินาที บางครั้งอาจรุนแรงถึงทำให้ตื่นขึ้น


ภาวะแทรกซ้อน

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนรุนแรง ส่วนใหญ่จะทำให้มีปัญหานอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ เนื่องจากมีอาการตื่นกลางดึก หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ ตลอดคืน ส่งผลให้กลางวันง่วงนอน ทำงานไม่ได้เต็มที่

ในรายที่มีอาการรุนแรงทำให้สูญเสียคุณภาพชีวิต และเกิดภาวะซึมเศร้า


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย (สอบถามจากคนใกล้ชิดในบ้านที่สังเกตเห็นอาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ผู้ป่วยนอนหลับ) และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

หากสงสัยมีโรคอื่นร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะโลหิตจาง ระดับน้ำตาลในเลือด) ตรวจทางระบบประสาท

หากสงสัยมีภาวะนอนไม่หลับจากสาเหตุอื่น เช่น ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ อาจจำเป็นต้องทำการตรวจความผิดปกติระหว่างการนอนหลับด้วยวิธี "Polysomnography"


การรักษาโดยแพทย์

1. แพทย์จะให้คำแนะนำให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวในการดูแลตนเอง


2. ถ้ารุนแรง แพทย์จะให้ยาควบคุมอาการ เช่น ยากระตุ้นโดพามีน (เช่น rotigotine, pramipexole) ยากันชัก (เช่น carbamazepine, gabapentin, enacarbil, pregabalin) ยาทางจิตประสาท เป็นต้น


3. ถ้ามีสาเหตุชัดเจน ก็จะให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิต ในรายที่มีภาวะขาดธาตุเหล็ก, ให้ยารักษาโรคเบาหวาน, พาร์กินสัน เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่ช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ดำเนินชีวิตได้เป็นปกติ บางรายปลอดจากอาการนานเป็นปี ๆ บางรายอาจมีอาการกำเริบใหม่ หรือเมื่ออายุมากขึ้นอาจมีอาการมากขึ้น


การดูแลตนเอง

หากมีอาการที่สงสัยว่าเป็นโรคขาอยู่ไม่สุข ควรปรึกษาแพทย์ เมื่อแพทย์ตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    ดูแลรักษา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ปฏิบัติตัวด้วยวิธีต่าง ๆ ที่ช่วยให้อาการดีขึ้น เช่น การยืดเหยียดเท้าหรือขาที่มีอาการ การลุกขึ้นเดินไปมา การบีบนวด การแช่เท้าในน้ำอุ่น การประคบด้วยความร้อนหรือความเย็น การนวดด้วยเครื่องสั่น (vibration) เป็นต้น
    นอนหลับให้เพียงพอ
    ออกกำลังกายที่ไม่หักโหมมาก เช่น เดินเร็ว วิ่งเหยาะ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ
    หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ และการดื่มชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ทำให้เกิดอาการ

ควรกลับไปปรึกษาแพทย์ ถ้าอาการไม่ทุเลาใน 2-3 สัปดาห์ หรือหลังทุเลาดีแล้วกลับมีอาการกำเริบใหม่ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

ส่วนใหญ่ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล

อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค โดยการป้องกันหรือรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ เช่น ภาวะขาดธาตุเหล็ก เบาหวาน ไตวายเรื้อรัง พาร์กินสัน

ข้อแนะนำ

โรคนี้มักเป็นเรื้อรังไม่หายขาด แต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ยกเว้นอาจทำให้นอนไม่หลับ หรือเกิดภาวะซึมเศร้า ควรดูแลรักษาอย่างจริงจังก็จะช่วยให้อาการทุเลาและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

14
จ้าง รถกระบะรับจ้างขนของอุบลราชธานี มีที่ไหน ใกล้ฉัน ย้ายเครื่องจักร เครื่องมือช่าง ราคาถูก

รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี

เมื่อคุณต้องการย้ายไซต์งานในอุบลราชธานี การหา รถย้ายไซต์งาน ที่ใกล้คุณและมีราคาถูกสำหรับการขนย้ายเครื่องจักรหรือเครื่องมือช่างเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาหลายๆด้าน และหารถที่พร้อมให้บริการที่ครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นงานก่อสร้าง งานอุตสาหกรรม หรืองานปรับปรุงต่างๆ การมีผู้ให้บริการที่เชี่ยวชาญและไว้วางใจได้ จะช่วยให้การขนย้ายเป็นไปอย่างราบรื่น ประหยัดเวลา และปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนั้นการเลือกใช้บริการ รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ในพื้นที่ใกล้เคียงยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการขนส่งและเวลาที่ใช้ในการเดินทางอีกด้วย หากคุณกำลังมองหา บริการรถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ที่ใกล้ตัวและคุ้มค่า คุณจะต้องพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งความน่าเชื่อถือของผู้ให้บริการ ราคา และความสามารถในการขนย้ายเครื่องจักรและเครื่องมือช่างของคุณได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

   
รถรับจ้างอุบลราชธานี

ขนส่ง เป็นบริการรถรับจ้างที่พร้อมให้บริการขนย้ายของทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการ ขนย้ายบ้าน ย้ายสำนักงาน ขนย้ายสินค้า หรือแม้กระทั่งการย้ายไซต์งาน โดยเฉพาะงานที่ต้องขนย้ายเครื่องจักร เครื่องมือช่าง หรือวัสดุก่อสร้างที่มีน้ำหนักมากและมีขนาดใหญ่ ซึ่งต้องการการจัดการอย่างมืออาชีพและความชำนาญในการเคลื่อนย้าย ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในงานขนส่ง สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร ไม่ว่าของที่ต้องขนย้ายจะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ ขนส่ง มีรถหลากหลายประเภท รถบรรทุกเล็ก กระบะ สี่ล้อใหญ่ รถบรรทุกใหญ่ หกล้อ สิบล้อ เฮี๊ยบ เทรลเลอร์ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการ พร้อมทีมงานที่มีทักษะในการขนย้ายอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ทั้งยังให้บริการในราคาที่คุ้มค่า เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขนย้ายไซต์งานหรือย้ายสิ่งของในพื้นที่อุบลราชธานีและบริเวณใกล้เคียงอีกด้วยค่ะ

   
รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ใกล้ฉัน

เมื่อคุณต้องการ รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ที่อยู่ใกล้คุณ วิธีการค้นหาและติดต่อผู้ให้บริการที่ง่ายและสะดวกที่สุดเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้การย้ายไซต์งานของคุณเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น โดยทั่วไปแล้ว การติดต่อผู้ให้บริการรถย้ายไซต์งานสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งแต่ละวิธีก็มีความสะดวกสบายที่แตกต่างกันไป แต่ที่สะดวกและรวดเร็วที่สุด ที่ไม่ว่าอยู่ที่ไหนก็สามารถหา รถรับจ้าง ได้ คือ การค้นหาผ่านระบบออนไลน์ โดยค้นหาผ่าน web browser เช่น Google หรือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการค้นหา บริการรถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ใกล้ฉัน คุณสามารถใช้คำค้นหาที่เฉพาะเจาะจง เช่น "รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ใกล้ฉัน" เพื่อค้นหาผู้ให้บริการที่มีอยู่ในพื้นที่นั้นๆ นอกจากนี้ คุณยังสามารถตรวจสอบรีวิวและคะแนนจากลูกค้ารายอื่นๆ เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือค่ะรถรับจ้างทั่วไป

   
รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ไปต่างจังหวัด

เมื่อคุณต้องการ รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ไปต่างจังหวัด การเลือกบริการรถรับจ้างที่สามารถขนย้ายระยะทางไกลได้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญค่ะ การย้ายไซต์งานข้ามจังหวัดไม่เพียงแต่ต้องใช้รถที่มีขนาดที่เหมาะ และสภาพดีในการขนย้าย ทั้งเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่างๆ แต่ยังต้องอาศัยความชำนาญในการจัดการด้านการขนส่งข้ามจังหวัด ซึ่งรวมถึงการวางแผนเส้นทาง การจัดเตรียมเอกสารที่จำเป็น และการรับมือกับสภาพถนนที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ที่ให้บริการขนย้ายไปยังต่างจังหวัด ที่พร้อมรองรับการขนย้ายของหนักหรือสินค้าที่มีขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ผู้ให้บริการมืออาชีพจะมีการวางแผนการขนย้ายที่รัดกุม เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เช่น การตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทาง การวางแผนเส้นทางเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคต่างๆ และการเตรียมความพร้อมในการขนย้ายไปยังจุดหมายปลายทางค่ะ

   
รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ราคาถูก

เมื่อคุณกำลังมองหาบริการ รถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ราคาถูก และคุณภาพดี ขนส่ง เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่าที่สุด เราให้บริการรถรับจ้างที่ครบวงจร รวมไปถึง ขนย้ายไซต์งาน ในราคาย่อมเยา สิ่งที่ทำให้ ขนส่ง มีความโดดเด่นในด้านราคาคือการจัดการที่มีประสิทธิภาพและการคำนวณต้นทุนที่คุ้มค่า ทำให้สามารถเสนอราคาที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นๆ นอกจากนี้ เรายังมีการจัดโปรโมชันและส่วนลดพิเศษ เพื่อให้ลูกค้าได้รับความคุ้มค่าสูงสุดค่ะ ขนส่ง ไม่เพียงแค่เสนอราคาถูก แต่ยังให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและความรวดเร็วในการขนย้าย หากคุณต้องการ บริการรถย้ายไซต์งานอุบลราชธานี ราคาถูก และไว้ใจได้ ขนส่ง เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านราคาและคุณภาพของบริการอย่างแน่นอนค่ะ

15
รถรับจ้างขนของ รถกระบะรับจ้างจังหวัดเพชรบุรี รับจ้างขนของ รถรับจ้างพร้อมยกราคาถูก

รถกระบะรับจ้างจังหวัดเพชรบุรี ถือว่าเป็นรถรับจ้างที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการช่วย รับจ้างขนของ ให้กับบุคคลทั่วไปเช่น งานขนย้าย ย้ายบ้าน งานด้านโลจิสติกส์ ถือว่ามีความสำคัญมากในปัจจุบันดังนั้น รถรับจ้าง ที่เรากำลังพูดถึงเป็น รถกระบะรับจ้างขนของ ที่เข้ามาบริการสนับสนุนการขนย้ายของให้มีความเป็นระบบและมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รถกระบะรับจ้างขนของเพชรบุรี คือ รถผู้ให้บริการที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่ง โดยที่ระบุ วัตถุประสงค์ ชัดเจน ในการ ให้บริการขนย้ายของ รับจ้างขนของ เป็นสำคัญ ถือว่าเป็นรถรับจ้างเพชรบุรีที่มีขนาดเล็ก มีความคล่องตัวสูง ราคาค่าขนย้ายไม่แพง วิ่งในเขตในเมือง ไม่ติดเวลา สามารถ ทำเวลาได้ รับจ้างขนของได้ทุกชนิดตามที่ลูกค้าต้องการและยังสามารถบริการย้ายสินค้าจากต้นทางและไปเก็บเงินที่ปลายทางได้ อำนวยความสะดวกให้กับลูกค้า รถรับจ้างเป็นอย่างดี ในกรณีที่ต้อง ไปรับสินค้าด่วน ซึ่งในปัจจุบัน ในธุรกิจออนไลน์ ถือได้ว่า มีบทบาทสำคัญต่อธุรกิจ ขนส่งเป็นอย่างมากและรถกระบะรับจ้างก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สำคัญที่เข้ามาช่วยสนับสนุน การเติบโตของธุรกิจออนไลน์ ซึ่งเราจะเห็นได้จากปัจจุบันนี้มีรถกระบะรับจ้าง ทั้งวิ่งร่วมและวิ่งส่วนตัว เข้ามาให้บริการขนย้ายของเป็นจำนวนมาก

พื้นที่งานบริการรถรับจ้างจุดต่างๆ

    รถกระบะขนของอำเภอเมืองเพชรบุรี
    รถกระบะขนของอำเภอแก่งกระจาน
    รถกระบะขนของอำเภอเขาย้อย
    รถกระบะขนของอำเภอชะอำ
    รถกระบะขนของอำเภอท่ายาง
    รถกระบะขนของอำเภอบ้านลาด
    รถกระบะขนของอำเภอบ้านแหลม
    รถกระบะขนของอำเภอหนองหญ้าปล้อง


หากเราจะจำแนกรถกระบะรับจ้างหรือรถสี่ล้อรับจ้างนั้น จะมี ลักษณะของรถขนของ ดังนี้

    รถกระบะรับจ้างเพชรบุรีแบบคอกสูง ขนาดของรถจะมีขนาด การให้บริการ ส่วนใหญ่จะเป็นขนย้ายวัตถุดิบทางการเกษตร ย้ายหอ ขนส่งสินค้า วัสดุก่อสร้าง ย้ายบ้าน เป็นต้น
    รถกระบะรับจ้างเพชรบุรีแบบตู้ทึบสแตนเลส ซึ่งมีขนาดของรถที่เหมาะสำหรับงานที่ ให้บริการ ย้ายหอ ย้ายบ้าน ขนส่งสินค้าออนไลน์  สินค้าที่มีขนาดเล็ก บริการขนย้ายสินค้าให้กับโรงงานอุตสาหกรรมทั่วไป
    รถ 4 ล้อใหญ่รับจ้างเพชรบุรี เป็นรถรับจ้าง 4 ล้อที่มีขนาด เป็นรถที่เข้ามารองรับการขนย้ายที่มีปริมาณที่มากกว่า รถกระบะ หรือมีสินค้า ที่มีขนาดใหญ่ขึ้นมา โดยไม่สามารถที่ใส่รถกระบะได้หมด งานให้บริการส่วนใหญ่ก็จะเป็นงานย้ายบ้านย้ายหอ ขนย้ายสินค้าทางการเกษตรเป็นต้น

สถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในจังหวัดเพชรบุรี

    ตลาดน้ำกวางโจว
    อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี (เขาวัง)
    หาดชะอำ
    พระรามราชนิเวศน์ (พระราชวังบ้านปืน)
    รู้เรื่อง@เพ็ชรบุรี (กาแฟบ้านร้อยปี)

ขนส่ง เป็นผู้ให้บริการรถกระบะขนของที่บริการมาอย่างยาวนานกว่า 15 ปี มีความเป็นมืออาชีพมาก ตั้งใจในการรับจ้างขนย้ายของเป็นอย่างดี จะย้ายบ้าน ย้ายคอนโด ต้องนึกถึงเรา ย้ายสำนักงาน สินค้าโรงงาน และย้ายสินค้าทางการเกษตร ที่นี่เขาบริการด้วยความเป็นมิตรอย่างมาก เขาหากพูดถึงงานบริการ รถรับจ้างขนของ ในลักษณะนี้เราจึงอยากจะแนะนำงานบริการรับจ้างขนย้ายของที่ดี ซึ่งได้แก่ ซึ่งถือว่าเป็นผู้ให้บริการที่มีความเก่งด้านบริการ รถรับจ้าง เป็นอย่างมาก มีความพร้อม มีความรับผิดชอบเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ บริการรถกระบะรับจ้าง จะหมดความกังวลใจ และ ได้รับความมั่นใจว่าผู้ให้บริการนั้นมีความสามารถและประสบการณ์ที่จะไม่ทำให้สินค้าของท่านต้องเสียหายอย่างแน่นอน ราคาค่าขนย้ายที่ถือว่าไม่สูง และมีพนักงานช่วยขนย้ายบริการ ที่สำคัญเป็นรถขนของ ของเราเอง ด้วยประสบการณ์กว่า 15ปี ชำนาญทุกเส้นทาง

การเลือกใช้บริการรถกระบะรับจ้างขนของเพชรบุรีมีขั้นตอนง่ายๆดังนี้

    เลือกใช้รถกระบะรับจ้างที่สามารถติดต่อได้ตลอด 24 ชั่วโมง
    ราคาค่าขนย้ายของรถกระบะขนของจะต้องไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป
    มีการบริการที่ดีพูดจาสุภาพมีความเป็นกันเอง
    รักในงานบริการและเข้าใจผู้ใช้บริการ
    มีพนักงานยกสินค้า ไว้คอยบริการ

เราคิดดูว่าตอนนี้รถกระบะขนของ ที่ให้บริการงานขนย้ายนั้นมีมากแค่ไหน เราก็อยากที่จะเลือก รถรับจ้างขนของ ที่ได้มาตรฐาน บริการดีทุกคนอย่างแน่นอน เพราะงานขนย้ายสินค้า ย้ายหอ หรือย้ายบ้าน นั้นมีส่วนสำคัญมาก ปัจจุบันรถกระบะรับจ้างนั้นมีจำนวนมาก ด้วยสังคม ของคนไทยส่วนใหญ่ในแทบทุกบ้านจะมีรถกระบะเป็นของตัวเอง ในบางคนก็จะออกรถกระบะมาเพื่อใช้งานในครอบครัวบางคนก็มาใช้งานเพื่อการรับจ้าง ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นเราจึงควรเลือกผู้ให้บริการ รถกระบะรับจ้าง ที่มีประสบการณ์และมีความเป็นมืออาชีพเข้ามาให้บริการรับจ้างขนของแก่เรา เพื่อไม่ให้สินค้าของเรานั้น ชำรุดเสียหาย และที่สำคัญต้องเป็นผู้ให้บริการที่สามารถจะรับประกันสินค้าของเราได้หากเกิดกรณี อุบัติเหตุ หรืออื่นๆ ในสิ่งที่เราไม่คาดคิด เราจึงอยากให้ผู้ใช้บริการรถกระบะรับจ้างพิจารณาให้ดีก่อนและเลือกรถรับจ้างที่คิดว่าไม่น่าจะทำให้สินค้าของเราต้องเสียหายอย่างเช่น รถกระบะรับจ้างขนของทั่วไทย

หน้า: [1] 2 3 ... 40